กรมการขนส่งทางรางออกประกาศเรื่อง มาตรการพึงปฏิบัติการจัดการระบบขนส่งทางรางภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เปิดเผยหลัง ลงนามในประกาศกรมการขนส่งทางรางเรื่อง มาตรการพึงปฏิบัติการจัดการระบบขนส่งทางรางภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ว่าเนื่องด้วยรัฐบาลได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 และมีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของรัฐบาล กรมการขนส่งทางรางจึงออกประกาศดังกล่าว โดยรายละเอียดจะแบ่งเป็น 2 ส่วนได้แก่ 1. ผู้ให้บริการระบบขนส่งทางราง ประกอบด้วย การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.), บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTS) และ 2. ผู้โดยสาร โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ข้อ 1 ให้ผู้ให้บริการระบบขนส่งทางราง ปฏิบัติดังนี้
- เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในขบวนรถและภายในสถานี เช่น ราวจับ ที่จับบริเวณประตูขบวนรถ เก้าอี้นั่งโดยสาร เครื่องออกตั๋วโดยสาร ราวจับบันได/บันไดเลื่อน ปุ่มกดลิฟต์ และห้องน้ำ เป็นต้น และให้กำจัดขยะมูลฝอยทุกวัน
- ติดตั้งจุดบริการแอลกอฮอล์เจล เพื่อให้บริการแก่ผู้โดยสารรวมถึงพนักงาน ในพื้นที่ส่วนกลางและบริเวณที่มีการใช้งานร่วมกัน เช่น บริเวณทางเข้า – ออกสถานี ห้องออกบัตรโดยสาร
- จัดให้มีจุดคัดกรองผู้โดยสารด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าใช้บริการระบบขนส่งทางราง หากพบผู้ที่มีอุณหภูมิสูงกว่า ๓๗.๕ องศาเซลเซียส หรือมีอาการไอ จาม มีน้ำมูก หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ จะต้องให้ข้อแนะนำในการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อและให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา และ/หรือติดต่อหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่หรือกรมควบคุมโรคเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามความเหมาะสมแก่เหตุอันควรรายกรณี และชี้แจงเหตุผลอันจำเป็นแก่ผู้โดยสารอันเป็นประโยชน์ในการควบคุมโรคติดต่อ
- ประชาสัมพันธ์ แนะนำทั้งภายในสถานีและขบวนรถเพื่อการโดยสารในรูปแบบที่เหมาะสมและมีความชัดเจนในการแจ้งมาตรการพึงปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 ตามข้อ ๘ สำหรับผู้โดยสารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ง่าย ดังต่อไปนี้
- ผู้สูงอายุตั้งแต่เจ็ดสิบปีขึ้นไป
- กลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวานโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคในระบบทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำตามธรรมชาติของโรคและด้วยยาที่ใช้รักษา
- กลุ่มเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่าห้าปีลงมา
- ประสานและอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548(ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 ข้อ 10 เพื่อจัดระเบียบการเดินทางการเฝ้าระวังหรือสังเกตอาการผู้เดินทางและพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดต่อโรค สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางข้ามพื้นที่จังหวัด
- กรณีใช้บริการรถไฟระหว่างจังหวัด จัดให้มีแบบคำถามสุขภาพ (แบบ ต.8 คค) แนบท้ายประกาศนี้ เพื่อขอความร่วมมือผู้โดยสารแสดงข้อมูล ชื่อ – สกุล เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักหรือเลขที่หนังสือเดินทาง สัญชาติ หมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อได้ เหตุผลในการเดินทาง และระบุที่พักปลายทางหรือข้อมูลด้านสุขภาพอันเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมโรคติดต่อ ณ จุดจำหน่ายบัตรโดยสาร
- กรณีใช้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครข้ามเขตพื้นที่จังหวัด จัดให้มีแบบคำถามสุขภาพ (แบบ ต.8 คค) แนบท้ายประกาศนี้ เพื่อขอความร่วมมือผู้โดยสารแสดงข้อมูล ชื่อ – สกุล เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก หรือเลขที่หนังสือเดินทาง สัญชาติ หมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อได้ เหตุผลในการเดินทางและระบุที่พักปลายทางหรือข้อมูลด้านสุขภาพอันเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมโรคติดต่อณ สถานีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอื่นบริเวณปลายทางนอกกรุงเทพมหานคร
- ให้ใช้มาตรการระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) มาปรับใช้ในการบริหารจัดการภายในสถานีและขบวนรถ เช่น การเว้นระยะห่างจากบุคคลอื่นๆ ในระยะอย่างน้อย ๑ เมตรเพื่อรับบริการตามความเหมาะสม
- เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการป้องกันสำหรับพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่สวมหน้ากากอนามัยขณะปฏิบัติงาน และตรวจวัดอุณหภูมิเพื่อคัดกรองก่อนปฏิบัติงานทุกวันหากมีเจ้าหน้าที่ที่มีอาการป่วย หรือมีไข้สูงเกิน ๓๗.๕ องศาเซลเซียส ให้พบแพทย์เพื่อตรวจรักษาทันที และ/หรือติดต่อหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ หรือกรมควบคุมโรคเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
- ให้มีการประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ความเข้าใจ และรณรงค์แนะนำการปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) แก่ผู้โดยสาร ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ เช่น ป้ายประชาสัมพันธ์ แผ่นพับ จอ LED เสียงประชาสัมพันธ์ภายในสถานีและขบวนรถและสื่อโซเชียลมีเดีย เป็นต้น
แจ้งให้ประชาชนผู้ใช้บริการระบบขนส่งทางราง จะต้องสวมหน้ากากอนามัย
หรือหน้ากากผ้า ตลอดเวลาที่ใช้บริการภายในระบบขนส่งทางราง ทั้งภายในสถานีและภายในขบวนรถ และกำกับการดำเนินงาน รวมทั้งชี้แจงถึงเหตุผลความจำเป็นแก่ประชาชน - จัดให้มีจุดจำหน่ายหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารให้สวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในระบบ
- ข้อ 2 ให้ผู้โดยสารปฏิบัติดังนี้
- สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ตลอดเวลาที่ใช้บริการภายในระบบขนส่งทางรางทั้งภายในสถานีและภายในขบวนรถ
- หมั่นล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอล์ เจลหรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
- หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสปาก ตา และจมูก ซึ่งเป็นช่องทางการติดเชื้อโรคได้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบุคคลอื่นขณะเดินทางโดยระบบขนส่งทางราง ควรยืน เดิน หรือนั่ง สำหรับผู้โดยสารที่มีอาการไอ จาม โดยใช้มาตรการระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ควรเว้นระยะห่างจากบุคคลอื่น ๆ ในระยะอย่างน้อย 1 เมตร
นายสรพงศ์ฯ กล่าวต่อว่าประกาศดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จะคลี่คลายหรือมีประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ ขอให้ผู้ให้บริการระบบขนส่งทางรางและประชาชนผู้ใช้บริการระบบขนส่งทางรางปฏิบัติตามประกาศของกรมการขนส่งทางราง เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28055
