ข่าวสารกิจกรรม, ข่าวไวรัสโควิด-19
กรมการแพทย์ สรุปแนวทางรักษาโควิด 19 ด้วยยาฟาร์วิพิราเวียร์
กรมการแพทย์ สรุปแนวทางรักษาโควิด 19 ด้วยยาฟาร์วิพิราเวียร์ เน้นให้เร็วขึ้นในผู้ที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นผู้ติดเชื้อยืนยัน ที่ไม่มีอาการและไม่มีโรคร่วม จะไม่ให้ยารักษาเฉพาะผู้ติดเชื้อยืนยัน ที่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ แต่มีโรคร่วมหรือมีปัจจัยเสี่ยง ให้ยารักษาตามอาการและยาต้านไวรัสคือ ยาฟาวิพิราเวียร์ ตามดุลยพินิจของแพทย์เป็นรายๆ ไป
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงแนวทางการให้ยารักษาผู้ป่วยโควิด 19 ว่า อัพเดทข้อมูลแนวทางการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญ โรงเรียนแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อและโรคปอด ทั้งจาก รพ.ศิริราช จุฬาฯ รามาธิบดี และอื่นๆ รวมถึงสมาคมโรคติดเชื้อ สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ช่วยกันระดมสมอง ดูผลงานการรักษาตั้งแต่การระบาดปีที่แล้ว ระลอก จังหวัดสมุทรสาครและระลอกเดือนเมษายน 2564 ที่มีการระบาดสายพันธุ์ต่างกัน ในส่วนที่มีความสับสนอย่างมากคือ ยาฟาวิพิราเวียร์
สรุปแนวทางการรักษาคือ ผู้ติดเชื้อยืนยัน ที่ไม่มีอาการและไม่มีโรคร่วม จะไม่ให้ยารักษาเฉพาะ ผู้ติดเชื้อยืนยัน ที่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ แต่มีโรคร่วมหรือมีปัจจัยเสี่ยง ให้ยารักษาตามอาการและยาต้านไวรัสคือ ยาฟาวิพิราเวียร์ ตามดุลยพินิจของแพทย์เป็นรายๆ ไป ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการและไม่มีโรคร่วม คิดเป็นร้อยละ 30 – 40 ของจำนวนผู้ป่วย พบว่าร้อยละ 80 อาการจะไม่เปลี่ยนไปเป็นกลุ่มผู้ป่วยสีเหลืองหรือแดง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกินยา ซึ่งจะเป็นการให้ยาโดยเปล่าประโยชน์ ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทย์ สมาคมโรคติดเชื้อและอื่นๆ ได้ปรึกษาหารือกันแล้วยืนยันในส่วนนี้ ผู้ติดเชื้อยืนยันมีอาการเล็กน้อย มีความเสี่ยงและปอดอักเสบเล็กน้อย ให้ยาฟาวิพิราเวียร์ ในรายที่มีอาการรุนแรง สามารถให้ยาสเตียรอยด์ได้ เพื่อลดความรุนแรงของโรคและป้องกันการใช้เครื่องช่วยหายใจในอนาคต และผู้ติดเชื้อยืนยัน ที่มีปอดอักเสบหรืออักเสบรุนแรง ความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดน้อยกว่า 96% ให้ยาฟาวิพิราเวียร์ โลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์
การให้ยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ เราให้เร็วขึ้นแต่ยังไม่ถึงกับให้ทุกคน ไม่หว่านแห เพราะมีผลเสียหลายอย่าง เนื่องจากยาฟาวิพิราเวียร์ มีอาการข้างเคียง เช่น ตับอักเสบ เกิดเชื้อดื้อยาซึ่งผู้เชี่ยวชาญเป็นห่วงมากและในต่างประเทศมีการทดสอบทางคลินิกสำหรับยาต้านไวรัสบางตัว แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันและยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนจึงไม่สามารถนำมาใช้ได้ ดังนั้น เราต้องเก็บยาฟาวิพิราเวียร์ไว้เป็นอาวุธสำคัญ
โดยการรักษาในโรงพยาบาลขณะนี้ยึดที่ 14 วัน สำหรับผู้ที่ไม่มีอาการ แต่หากพื้นที่ใดมีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการเตียง กรณีผู้ป่วยที่ไม่มีอาการอย่างน้อย 48 ชั่วโมง สามารถให้ออกจากโรงพยาบาลได้ตั้งแค่วันที่ 10 เป็นต้นไป แต่ต้องกลับไปกักตัวที่บ้านต่อจนครบ 14 วันเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ ปัจจุบันอัตราการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ เฉลี่ย 5 หมื่นเม็ดต่อวัน โดยหลังวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 จะมียาเข้ามาอีก 3 ล้านเม็ด ขณะนี้มีแผนบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความสะดวก โดยสำรองยาและจ่ายยาผ่านโรงพยาบาลแม่ข่าย โดยจะจ่ายยาให้โรงพยาบาลลูกข่าย ทั้งในกรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาค นอกจากนี้ ยังมีการขยายโรงพยาบาลแม่ข่าย เพื่อสำรองยาพิจารณาตามจำนวนผู้ติดเชื้อ พร้อมทั้ง สำรองยาไว้ในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนามและฮอสปิเทล มีการกระจายยาไปเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน มีการสำรองยาไปที่โรงพยาบาลเล็กที่ไม่มีเครือข่ายประมาณ 20 แห่ง โดยใช้วิธีการเบิกทดแทน เพื่อไม่ให้มีการขาดตกบกพร่อง สำหรับโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลของ กทม. โรงพยาบาลสังกัดกลาโหม สังกัดตำรวจ ก็ได้รับการสำรองยาเรียบร้อยแล้ว การเบิกก็จะเบิกทดแทนของเก่าเท่านั้น เพื่อให้เกิดความสะดวก
ที่มา : https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG210506194942956
