ข่าวสารกิจกรรม, ข่าวไวรัสโควิด-19
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลสำรวจชี้ชัดประชาชนร้อยละ 75.2 ต้องการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด 19
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลสำรวจชี้ชัดประชาชนร้อยละ 75.2 ต้องการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด 19 โดยจังหวัดภูเก็ตมากสุด
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยผลสำรวจชี้ชัดประชาชนร้อยละ 75.2 ต้องการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด 19 ภูเก็ตนำโด่ง
วันที่ (8 มิ.ย.64) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) เกี่ยวกับกรณีของวัคซีน โดยทางสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยการสัมภาษณ์สมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวนตัวอย่าง 46,600 คน ระหว่างวันที่ 17 – 22 พฤษภาคม 2564
พบว่าประชาชนร้อยละ 75.2 ต้องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ในจำนวนนี้มีผู้ต้องการฉีดและพร้อมที่จะฉีดวัคซีนร้อยละ 47.7 และผู้ต้องการฉีดแต่ยังไม่พร้อมร้อยละ 27.5 ส่วนที่ฉีดวัคซีนแล้วมีร้อยละ 5.5
ขณะที่ร้อยละ 19.3 ไม่ต้องการฉีดวัคซีน โดยให้เหตุผลว่า กลัวผลข้างเคียงร้อยละ 16.4 , ไม่เชื่อมั่นว่าวัคซีนจะสามารถป้องกันได้ร้อยละ 4.9 , มีข้อจำกัดทางด้านร่างกาย เช่น พิการ มีโรคประจำตัว ตั้งครรภ์ ร้อยละ 4.6, สามารถป้องกันตัวเองได้ร้อยละ 3.6 และไม่มีข้อมูลหรือข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจร้อยละ 3.2
สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนระบุว่า วัคซีนที่ต้องการมากที่สุดคือ วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้ร้อยละ 54.6, วัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ร้อยละ 12.5, วัคซีนโมเดอร์นาร้อยละ 3, วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสันร้อยละ 2.5 และวัคซีนโนวาแวกซ์ร้อยละ 0.9
สำหรับ 6 จังหวัดที่มีผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วและผู้ที่พร้อมจะฉีดสูงกว่าร้อยละ 70 ได้แก่ ภูเก็ตร้อยละ 80.2 ,ตรังร้อยละ 80,ระนองร้อยละ 78.8, บุรีรัมย์ร้อยละ 73.3, ชลบุรีร้อยละ 71.8 และนนทบุรีร้อยละ 71.2
เมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุพบว่า ผู้ที่มีอายุ 18-29ปี ไม่ต้องการฉีดวัคซีนและไม่พร้อมที่จะฉีดมีสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป ขณะที่นักเรียน นักศึกษา ผู้ว่างงาน ระบุว่าไม่ต้องการฉีดวัคซีนหรือไม่พร้อมฉีดสูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่น
สำหรับความเชื่อมั่นต่อคุณภาพของวัคซีนนั้น ประชาชนร้อยละ 45.3 มีความเชื่อมั่นต่อคุณภาพวัคซีนที่รัฐบาลให้บริการกับประชาชน ขณะที่ร้อยละ 54.7 ไม่เชื่อมั่น โดยให้เหตุผลว่า กลัวผลข้างเคียงร้อยละ 41.3, วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าวัคซีนที่จะเลือกใช้เองร้อยละ 7 , ได้รับข้อมูลข่าวสารของวัคซีนที่มีความขัดแย้งกันร้อยละ 5.7
เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดพบว่า จังหวัดที่ไม่เชื่อมั่นต่อคุณภาพของวัคซีนสูงกว่าร้อยละ 70 ได้แก่ กาฬสินธุ์ ร้อยละ 80.5 , ปัตตานีร้อยละ78.5, นราธิวาสร้อยละ 74, เชียงใหม่ร้อยละ 72.2, ขอนแก่นร้อยละ 71.3 และสตูลร้อยละ 70.4 และพบว่าประชาชนร้อยละ56.6 ระบุว่า การที่รัฐให้เงินชดเชยเป็นหลักประกันการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนมีผลต่อการตัดสินใจฉีดวัคซีน และประชาชนร้อยละ 80.9 เห็นว่าควรเพิ่มสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีน โดยเห็นว่าสถานที่ที่เหมาะสม 5อันดับแรกได้แก่ สถานีอนามัย/โรงพยาบาลประจำตำบล ร้อยละ 52.4 , จัดรถMobile ลงชุมชนร้อยละ 18.2, โรงเรียน อาคารอเนกประสงค์ สนามกีฬา วัด ร้อยละ 9.8, ที่ทำการกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชนร้อยละ 9.6 และสถานที่ราชการ ร้อยละ 6.9
นอกจากนี้ประชาชนยังเห็นว่า รัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนและลดความสับสนของข่าวสารดังนี้ ให้ผู้มีความรู้ ประสบการณ์ หรือผู้มีวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้นำเสนอประโชน์ของวัคซีนเพื่อสร้างความมั่นใจอย่างต่อเนื่องร้อยละ 48.3 ให้หน่วยงานรับผิดชอบตรวจสอบข้อมูลและสกัดกั้นข่าวเท็จที่เผยแพร่จากสื่อสาธารณะ หรือโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็วร้อยละ 20.4 และให้หน่วยงานเดียวเป็นผู้รับผิดชอบให้ข้อมูลข่าวสารร้อยละ 18.8 และยังพบด้วยว่า ประชาชนร้อยละ 90.5 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 เรื่องที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ รายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายร้อยละ 49.3 และเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือมากที่สุดได้แก่ ช่วยเหลือค่าครองชีพร้อยละ 67.8
ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42541
