กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กปลอดภัย เป็นไปตามความสมัครใจ ไม่เป็นข้อจำกัดไปโรงเรียน

กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กปลอดภัย เป็นไปตามความสมัครใจ ไม่เป็นข้อจำกัดไปโรงเรียน

           กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในเด็กอายุ 12-17 ปี ว่า รัฐบาลจัดหาวัคซีนไฟเซอร์เพื่อฉีดให้แก่เยาวชนอายุ 12 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นกลุ่มวัยเรียนที่ต้องมีสังคมและกลับไปโรงเรียน ทั้งนี้ ยืนยันว่าวัคซีนมีความปลอดภัย มีข้อมูลวิชาการรองรับ แต่การฉีดในเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องให้ผู้ปกครองยินยอม ซึ่งเป็นไปตามความสมัครใจ และไม่ได้นำมาเป็นข้อจำกัดไม่ให้เด็กไปโรงเรียน โดยวัคซีนไฟเซอร์ล็อตแรกจะมาถึงวันที่ 29 กันยายน 2564 และส่งให้ครบ 30 ล้านโดสในเดือนธันวาคม 2564 ส่วนกลุ่มอายุต่ำกว่า 12 ปี ต้องรอผู้ผลิตวัคซีนยื่นเอกสารขึ้นทะเบียนกับ อย. เพิ่มเติมและเมื่อขึ้นทะเบียนแล้วจะเร่งจัดหามาฉีดต่อไป




             วันนี้ (22 กันยายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในเด็กอายุ 12-17 ปี ว่า รัฐบาลจัดหาวัคซีนไฟเซอร์เพื่อฉีดให้แก่เยาวชนอายุ 12 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นกลุ่มวัยเรียนที่ต้องมีสังคมและกลับไปโรงเรียน ทั้งนี้ ยืนยันว่าวัคซีนมีความปลอดภัย มีข้อมูลวิชาการรองรับ แต่การฉีดในเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องให้ผู้ปกครองยินยอม ซึ่งเป็นไปตามความสมัครใจ และไม่ได้นำมาเป็นข้อจำกัดไม่ให้เด็กไปโรงเรียน โดยวัคซีนไฟเซอร์ล็อตแรกจะมาถึงวันที่ 29 กันยายนนี้ และส่งให้ครบ 30 ล้านโดสในเดือนธันวาคม 2564 ส่วนกลุ่มอายุต่ำกว่า 12 ปี ต้องรอผู้ผลิตวัคซีนยื่นเอกสารขึ้นทะเบียนกับ อย. เพิ่มเติมและเมื่อขึ้นทะเบียนแล้วจะเร่งจัดหามาฉีดต่อไป


             สำหรับการฉีดวัคซีนภาพรวม คาดว่าสิ้นเดือนตุลาคมนี้ จะฉีดได้เกือบ 60 ล้านโดส และทุกกลุ่มเป้าหมายจะได้รับการฉีดวัคซีนครบทุกโดสภายในสิ้นปี 2564 ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ควรได้รับเข็มกระตุ้นเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะเริ่มวันที่ 24 กันยายนนี้ ขณะที่วัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับปี 2565 สามารถจัดหาให้ประชาชนได้เพียงพอ เนื่องจากฉีดเพียงคนละ 1 โดส และจะติดตามว่าต้องมีการฉีดเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลังหรือไม่ ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนให้มีความครอบคลุม แม้จะยังพบการติดเชื้อได้ แต่จะช่วยลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต


             นายอนุทิน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 พ.ศ. … ซึ่งมีการปรับปรุงให้เข้มข้นขึ้น หากประกาศโรคใดให้เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรง คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ จะสามารถประกาศภาวะต่างๆ ด้านสาธารณสุข ประกาศความร่วมมือจากทุกหน่วยงานข้อกำหนด กฎเกณฑ์ต่างๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้หน่วยงานต่างๆ มีการทำงานร่วมกันมากขึ้น

 



ที่มา : https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/04/164448/