กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ห่วงประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม ขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมทางน้ำ อาทิ ห้ามออกหาปลาช่วงน้ำไหลหลาก ขับรถหรือเดินฝ่าบริเวณน้ำท่วม ห้ามปล่อยเด็กเล่นน้ำ เสี่ยงต่อการถูกกระแสน้ำพัดพาหรืออาจจมน้ำเสียชีวิตได้
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกฟ้าคะนอง และฝนตกหนักบางแห่ง รวมถึงฝนที่ตกสะสม ส่งผลให้พื้นที่เสี่ยงภัยเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ที่น่าห่วงคือการจมน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบมากที่สุดเมื่อเกิดน้ำท่วม
จากการเฝ้าระวังการจมน้ำในช่วงน้ำท่วมของกรมควบคุมโรค ระหว่างวันที่ 23 กันยายน – 19 ตุลาคม 2564 พบผู้เสียชีวิตสะสมรวม 60 ราย เป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไปมากที่สุด ร้อยละ 31.7 รองลงมาคือ 45-59 ปี ร้อยละ 28.3 เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงถึงเกือบ 4 เท่า สาเหตุหลักคือ พลัดตก ลื่น ออกหาปลา เรือล่ม/พลัดตกเรือ ส่วนในกลุ่มเด็ก คือ การเล่นน้ำในพื้นที่น้ำท่วม โดยเล่นกันเองเป็นกลุ่ม เดินลุยน้ำและถูกน้ำพัด เป็นต้น โดยในทุกกลุ่มอายุพบว่ามีประวัติการดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้องถึงร้อยละ 15 และมีบางรายที่มีโรคประจำตัวและความพิการทางร่างกายร่วมด้วย จุดเกิดเหตุเป็นบริเวณทุ่งนาที่มีน้ำท่วมขังมากที่สุด (ร้อยละ 23.3) รองลงมาเป็นบ้านและบริเวณรอบบ้าน (ร้อยละ 20) ส่วนจังหวัดที่พบการจมน้ำเสียชีวิตมากที่สุด คือ ลพบุรี และขอนแก่น (จังหวัดละ 10 ราย)
กรมควบคุมโรค จึงขอแนะนำประชาชนที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วม หรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมฉับพลัน ขอให้ระมัดระวังและเพิ่มความปลอดภัยจากอุบัติเหตุการจมน้ำ ดังนี้
- อพยพไปยังพื้นที่สูง รีบออกจากพื้นที่ในกรณีเกิดน้ำท่วมฉับพลัน
- เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง ไม่ควรขับรถหรือเดินลุยน้ำผ่านบริเวณที่มี น้ำท่วม
- ให้สวมเสื้อชูชีพ หรือนำอุปกรณ์ที่ลอยน้ำได้ติดตัวไปด้วยเสมอเมื่อเดินทางหรือทำกิจกรรมทางน้ำ เช่น ถังแกลลอนพลาสติกเปล่าปิดฝา เพื่อใช้สำหรับยึดเกาะพยุงตัว
- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมทางน้ำ เช่น หาปลา เก็บผัก เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกกระแสน้ำพัดพา หรือตกลงไปในบ่อน้ำลึกได้
- ไม่ควรให้เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือผู้มีโรคประจำตัว อยู่ตามลำพัง
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- ให้ติดตามข้อมูลข่าวสาร สภาพอากาศตามประกาศเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
ที่มา : https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/165846/
