ข่าวสารกิจกรรม, ข่าวไวรัสโควิด-19
กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยไทยพบ “โควิด” BA.2.75 จำนวน 5 ราย โดย 1 รายไม่ได้ฉีดวัคซีนทำให้มีอาการรุนแรง ส่วน BA.4.6 ยังไม่พบ ขณะที่ฝีดาษวานรพบผู้ป่วย 4 ราย เป็นสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก แนะนำห้องแล็บพื้นที่ท่องเที่ยวยื่นขอตรวจประเมินความชำนาญเพื่อให้ตรวจในพื้นที่ได้ โดยขณะนี้เพาะเชื้อได้แล้ว เตรียมทดสอบภูมิคุ้มกันในผู้ที่เคยปลูกฝี
วันนี้ (8 สิงหาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมด้วย ดร.นพ.อาชวินทร์ โรจนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข แถลงการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 และโรคฝีดาษวานร ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา (30 กรกฎาคม – 5 สิงหาคม 2565) ตรวจเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 จำนวน 382 ตัวอย่าง พบเป็นสายพันธุ์ BA.1 จำนวน 1 ราย คิดเป็น 0.26% สายพันธุ์ BA.2 จำนวน 58 ราย คิดเป็น 15.18% สายพันธุ์ BA.4/BA.5 จำนวน 322 ราย คิดเป็น 84.29% และสายพันธุ์ BA.2.75 จำนวน 1 ราย คิดเป็น 0.26% โดยสายพันธุ์ BA.4/BA.5 พบเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พื้นที่กทม.พบ 91.5% ส่วนภูมิภาคพบเพิ่มขึ้นเป็น 80% เมื่อถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวพบเป็น BA.5 ต่อ BA.4 ในสัดส่วน 4:1 แสดงว่า BA.5 แพร่เร็วกว่า BA.4 สอดคล้องกับสถานการณ์ทั่วโลก ส่วนเรื่องความรุนแรงยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดเป็น BA.4/BA.5 จึงเปรียบเทียบความรุนแรงยาก แต่เบื้องต้นไม่น่าแตกต่างกันมาก
สำหรับสายพันธุ์ BA.2.75 พบในประเทศไทย 5 ราย ได้แก่
- ชายไทย อายุ 53 ปี จ.ตรัง
- ชายไทย อายุ 62 ปี จ.แพร่
- ชายไทยอายุ 18 ปี จ.น่าน
- ชายไทยอายุ 62 ปี จ.สงขลา เป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่เคยได้รับวัคซีนโควิดเนื่องจากระบุว่าแพ้ง่าย ทำให้มีอาการหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจ
- หญิงไทย อายุ 85 ปี กทม. เป็นผู้ป่วยติดเตียง
ทั้งนี้ ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาสามารถตรวจ BA.2.75 ได้ในระดับพื้นที่ ทำให้ติดตามได้ว่าจะพบเพิ่มขึ้นหรือไม่ ส่วนสายพันธุ์ BA.4.6 องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่ได้จัดลำดับชั้น และยังไม่พบในประเทศไทย จึงยังไม่มีข้อมูลเรื่องความรุนแรง ต้องติดตามข้อมูลต่อไป
“ทุกวันนี้โรคโควิด 19 ยังอยู่ แต่เรามียาและวัคซีน ซึ่งมีคนฉีดวัคซีนจำนวนมากและคนส่วนใหญ่ยังสวมหน้ากากอนามัย ทำให้ปลอดภัยมากขึ้น แต่อยากย้ำให้คนที่ฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายนานกว่า 3-4 เดือน มาฉีดเข็มกระตุ้นเพื่อให้ภูมิคุ้มกันมากพอ ช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ เหมือนกรณีผู้ป่วยรายหนึ่งของสายพันธุ์ BA.2.75ที่อาการหนักต้องอยู่ในไอซียู เพราะไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย และอายุมาก ทำให้เสี่ยงเป็นอันตราย” นพ.ศุภกิจกล่าว
นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า สำหรับโรคฝีดาษวานรประเทศไทยพบผู้ป่วยยืนยัน 4 ราย เป็นสายพันธุ์ A.2 จำนวน 3 ราย และ B.1 จำนวน 1 ราย โดยทั้งหมดเป็นสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก ไม่ใช่สายพันธุ์แอฟริกากลาง ทำให้โรคมีความรุนแรงน้อย ขณะนี้สามารถเพาะเชื้อฝีดาษวานรได้จำนวนมากพอที่จะนำมาทดสอบกับผู้ที่เคยปลูกฝีป้องกันฝีดาษในอดีต ซึ่งเลิกปลูกฝีไปแล้วกว่า 40 ปี โดยจะรับอาสาสมัครประมาณ 30-40 คน ในช่วงอายุ 40 ปี 50 ปี และ 60 ปี ประมาณช่วงอายุละ 10 คน เพื่อให้ได้ฐานข้อมูลสำหรับประเทศไทยว่า ผู้ที่ปลูกฝีในแต่ละช่วงอายุมีภูมิคุ้มกันต่อฝีดาษลิงอย่างไรเป็นไปตามข้อมูลว่าป้องกันได้ 85% จริงหรือไม่
“ขณะนี้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกแห่งสามารถตรวจเชื้อฝีดาษวานรได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ห้องแล็บในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก สามารถยื่นเรื่องทดสอบความชำนาญ ซึ่งหากเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดก็จะอนุญาตให้ตรวจได้ภายใต้มาตรฐานห้องแล็บชีวนิรภัยระดับ 2 เสริมสมรรถนะ เพื่อให้มีห้องแล็บตรวจในพื้นที่มากขึ้น สำหรับประชาชนทั่วไปไม่จำเป็นต้องตรวจหาฝีดาษวานร ยกเว้นมีความเสี่ยงหรือเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด ส่วนผู้ป่วยสงสัยชาวฝรั่งเศสที่ จ.ตราด พบว่ามีไข้มาก่อนนานเป็นเดือนแล้ว จากนั้นจึงเริ่มมีแผลเกิดขึ้น สิ่งส่งตรวจจากบริเวณลำคอและเลือดให้ผลเป็นลบทั้งหมด ส่วนตัวอย่างจากแผลแปลผลได้ไม่ชัดเจน จึงต้องเก็บตัวอย่างเพิ่มมาตรวจใหม่” นพ.ศุภกิจกล่าว
ด้าน ดร.นพ.อาชวินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคฝีดาษวานร ทำให้เมื่อมีผื่นขึ้นจึงรีบมาขอตรวจหาเชื้อ แนะนำว่าหากมีผื่นหรือความผิดปกติใดๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ ร่วมกับดูประวัติเสี่ยงว่าสมควรตรวจหาเชื้อหรีอไม่ เนื่องจากต้องอยู่ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนโรค
ที่มา : https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/04/177169