กรมส่งเสริมการเกษตร แจ้งเตือนเกษตรกรชาวสวนมังคุดในภาคตะวันออกที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลของมังคุดในระยะแตกใบอ่อนและระยะออกดอกแล้ว ให้ระวัง “เพลี้ยไฟ” โดยสังเกตยอดอ่อนหรือใบอ่อน หากมีอาการแห้ง หงิกงอ ใบไหม้ และดอกหรือผลอ่อนร่วง หรือผลที่ไม่ร่วงจะเห็นรอยแผลชัดเจน ขอให้รีบกำจัดเพื่อป้องกันการกระจายเป็นวงกว้าง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร แจ้งเตือนเกษตรกรชาวสวนมังคุดในภาคตะวันออกที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลของมังคุดในระยะแตกใบอ่อนและระยะออกดอกแล้ว ให้ระวัง “เพลี้ยไฟ” โดยสังเกตยอดอ่อนหรือใบอ่อน หากมีอาการแห้ง หงิกงอ ใบไหม้ และดอกหรือผลอ่อนร่วง หรือผลที่ไม่ร่วงจะเห็นรอยแผลชัดเจน ขอให้รีบกำจัดเพื่อป้องกันการกระจายเป็นวงกว้าง
เพลี้ยไฟ มีสีเหลืองหรือน้ำตาลอ่อน มีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 22 วัน โดยตัวเมียมักวางไข่ในเนื้อเยื่อของพืชบริเวณใกล้เส้นกลางใบ ใช้ระยะเวลา 6 – 9 วัน จะฟักเป็นตัวอ่อนเข้าไปดูดกินน้ำเลี้ยงของพืช ส่งผลทำให้ยอดอ่อน ดอกอ่อน ผลอ่อน แห้งและหลุดร่วง ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตมังคุด รวมทั้งผลอ่อนที่ถูกเพลี้ยไฟเข้าทำลายจนรอยแผลขรุขระสีน้ำตาล หรือเรียกว่า ผิวขี้กลาก ทำให้มังคุดราคาตกเพราะผลไม่สวย
กรณีที่เพลี้ยไฟเข้าทำลายต้น #มังคุด ที่ไม่รุนแรง ให้หมั่นฉีดพ่นน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นในระยะออกดอกจนถึงระยะติดผลอ่อนทุก 2-3 วัน เนื่องจากเพลี้ยไฟจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพที่มีความชื้นสูง ส่วนกรณีเจอเพลี้ยไฟตัวเต็มวัย ให้เกษตรกรใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลืองขนาดใหญ่ ติดตั้งในสวนมังคุดได้ตั้งแต่มังคุดเริ่มแตกใบอ่อน เพื่อทำลายตัวเต็มวัยไม่ให้ผสมพันธุ์และเข้าวางไข่ทำลายยอดอ่อนของต้นมังคุดได้
หากเพลี้ยไฟเข้าทำลายมังคุดในวงกว้างหรือรุนแรงแล้ว เกษตรกรควรพ่นด้วยสารเคมีกำจัดแมลง โดยใช้ตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตรในปริมาณที่เหมาะสม เช่น สไปนีโทแรม 12% SC อัตรา 20 มล./ น้ำ 20 ลิตร หรือ คลอร์ฟีนาเพอร์ 10%SC อัตรา 30 มล./ น้ำ 20 ลิตร หรือ อะบาเมกติน 1.8% EC อัตรา 50 มล./ น้ำ 20 ลิตร เป็นต้น และควรพ่นสารแบบหมุนเวียนตามกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์ โดยใช้รอบการหมุนเวียนทุก 14 วัน รวมทั้งควรพ่นให้ทั่วถึงทั้งลำต้น ทั้งนี้ ขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน
ที่มา : https://bit.ly/3mmlDi4