ฤดูน้ำแดง 2566

ฤดูน้ำแดง

       “ฤดูน้ำแดง” หมายถึง ช่วงระยะเวลาที่น้ำในแม่น้ำลำคลองเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปริมาณน้ำฝนจำนวนมาก ชะล้างหน้าดินและพัดพาตะกอนธาตุอาหารต่าง ๆ ลงสู่แม่น้ำลำคลอง ทำให้น้ำกลายเป็นสีแดง ซึ่งเป็นปัจจัยในการกระตุ้นให้สัตว์น้ำมีการผสมพันธุ์ และวางไข่ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มปริมาณ ประชากรสัตว์น้ำให้แก่แหล่งน้ำ

ประกาศจากกรมประมง

       กรมประมง ปรับกฎหมายให้เหมาะสมกับข้อมูลชีววิทยาของสัตว์น้ำจืด ข้อมูลปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ปริมาณน้ำท่า และข้อมูลด้านการประมงของในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติ รักษาทรัพยากรสัตว์น้ำ – ระบบนิเวศได้อย่างยั่งยืน และลดผลกระทบต่อวิถีการทำประมงของชาวบ้าน

       ประกาศฉบับใหม่ได้มีการเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้คณะกรรมการประมงประจำจังหวัด สามารถประกาศกำหนดมาตรการอนุรักษ์ทั้งในเรื่องของพื้นที่ เครื่องมือ วิธีการทำการประมง และเงื่อนไขการทำการประมง และมีผลบังคับใช้ 2 ปี คือ (ปี 2566 และ 2567)

       โดยห้ามทำประมงในแม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร ห้วย หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ เขื่อน พรุ และลำน้ำทุกสาขา รวมทั้งป่าไม้และพื้นดินที่ถูกน้ำท่วมตามธรรมชาติเชื่อมต่อบริเวณดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือที่ดินของเอกชน เพื่อคุ้มครองสัตว์น้ำจืดมีไข่ทั่วประเทศ จึงขอความร่วมมือชาวประมงปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดในช่วงฤดูน้ำแดง

พื้นที่และระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมาย

       มาตรการฯ ฤดูน้ำแดง ปี 2566 ยังคงกำหนดพื้นที่และระยะเวลา รวมถึงเครื่องมือที่ให้ใช้เป็นไปตามมาตรการเดิม โดยมีการเพิ่มอำนาจให้กับคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด ให้สามารถออกประกาศกำหนดพื้นที่ เครื่องมือ วิธีการทำการประมง และเงื่อนไขการทำการประมง เพื่อให้มีความเหมาะสมตามสภาพข้อเท็จจริงของแต่ละพื้นที่

       ทั้งนี้ การกำหนดพื้นที่ ระยะเวลาฤดูสัตว์น้ำจืดมีไข่ หรือวางไข่ เลี้ยงตัววัยอ่อน และกำหนดเครื่องมือ วิธีการทำการประมง เงื่อนไขในการทำการประมง ประจำปี 2566 แบ่งพื้นที่และระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมายออกเป็น 3 ระยะ ตามความเหมาะสมของระบบนิเวศน์แต่ละพื้นที่ โดยกำหนดห้ามมิให้ผู้ใดทำการประมงในฤดูสัตว์น้ำจืดมีไข่ในห้วงเวลาและพื้นที่ ดังต่อไปนี้

ระยะที่ 1 

    • กำหนดระยะเวลา
      –  วันที่ 16 พฤษภาคม – 15 สิงหาคม 2566
      –  วันที่ 16 พฤษภาคม – 15 สิงหาคม 2567
    • พื้นที่ 33 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร เลย อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล และในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามแผนที่ท้ายประกาศ

ระยะที่ 2

    • กำหนดระยะเวลา
      –  วันที่ 1 มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2566
      –  วันที่ 1 มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2567
    • พื้นที่ 39 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดหนองบัวลำภู ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา มหาสารคาม กาฬสินธุ์ (เว้นแต่ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำป่าว จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้อยู่ภายใต้บังคับระยะเวลาตาม ระยะที่ 1) ร้อยเอ็ด มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี สุพรรณบุรี สระบุรี นครปฐม นนทบุรี กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ระยะที่ 3

    • กำหนดระยะเวลา
      –  วันที่ 1 กันยายน – 30 พฤศจิกายน 2566
      –  วันที่ 1 กันยายน – 30 พฤศจิกายน 2567
    • พื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพัทลุง สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา

เครื่องมือ วิธีการทำการประมงที่อนุญาต

เครื่องมือ วิธีการทำการประมงที่อนุญาตให้สามารถทำการประมงในฤดูสัตว์น้ำจืดมีไข่ได้ มีดังนี้

    1. เบ็ดทุกชนิด ยกเว้น เบ็ดราว เบ็ดพวงที่ทำการประมงโดยวิธีการกระชาก หรือการใช้เครื่องมืออื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
    2. ตะแกรง สวิง ช้อน ยอ หรือชนาง ซึ่งมีขนาดปากกว้างไม่เกิน 2 เมตร และไม่ทำการประมงด้วยวิธีประดาตั้งแต่ 3 เครื่องมือขึ้นไป
    3. สุ่ม ฉมวก และส้อม
    4. ไซ ตุ้ม อีจู้ ลัน
    5. แหที่มีความลึกไม่เกิน 6 ศอก (3 เมตร)
      ** ทั้งนี้ กรณีที่คณะกรรมการประมงประจำจังหวัด ประกาศกำหนดมาตรการอนุรักษ์ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง โดยห้ามทำการประมงที่ใช้เครื่องมือ วิธีการทำการประมง และเงื่อนไขในการทำการประมงอย่างหนึ่งอย่างใด ตามวรรคหนึ่ง 1 – 5 ให้ถือปฏิบัติตามประกาศนั้นด้วย
    6. การทำการประมงเพื่อการศึกษา วิจัย ทดลองทางวิชาการ หรือในพื้นที่โครงการที่ดำเนินการของทางราชการ ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมประมง

โทษของการฝ่าฝืน

  • หากผู้ใดฝ่าฝืนตามประกาศฯ มาตรา 70 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
  • มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 ถึง 50,000 บาท หรือ ปรับจำนวน 5 เท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำประมง