สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยตัวเลข GDP ไทยไตรมาส 2/2567 ขยายตัวร้อยละ 2.3
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 โดยเศรษฐกิจไทย (GDP) ขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.6 จากไตรมาสแรกของปี 2567 เมื่อรวมครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 1.9 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.7 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยร้อยละ 0.4 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 224,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหนี้สาธารณะมีมูลค่าประมาณ 11,540,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.5 ของ GDP
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ว่า เศรษฐกิจไทย (GDP) ขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.6 จากไตรมาสแรกของปี 2567 เมื่อรวมครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 1.9 โดยมีปัจจัยสนับสนุนด้านการใช้จ่ายปรับตัวดีขึ้นทั้งการอุปโภคภาครัฐ การอุปโภคภาครัฐบาล การส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวร้อยละ 1.9 ปริมาณการส่งออกบริการปรับ ร้อยละ 19.8 และการขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องของการอุปโภคภาคเอกชนขยายตัว ร้อยละ 4.0 ขณะที่การลงทุนรวมทั้งภาคเอกชนและภาครัฐปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 6.2 ด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัว ร้อยละ 0.2 สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขายส่งและการขายปลีก สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวต่อเนื่อง สาขาก่อสร้างและเกษตรกรรมปรับตัวลดลง ส่วนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.07 สูงกว่าไตรมาสแรก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.7 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยร้อยละ 0.4 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 224,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหนี้สาธารณะมีมูลค่าประมาณ 11,540,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.5 ของ GDP พร้อมคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะขยายตัวร้อยละ 2.3-2.8 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่จะมีรายได้ถึง 1.48 ล้านล้านบาท รวมถึงการเพิ่มขึ้นจากการใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐ และการกลับมาขยายตัวอย่างช้าๆของการส่งออกตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
เลขาธิการสำนักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังฝากถึงแนวทางการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี ควรให้ความสำคัญ กับการรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน การดูแลสภาพคล่องธุรกิจ SMEs การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงหารจัดทำงบประมาณปี 2568 ไม่ให้เกิดความล่าช้า การเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และที่สำคัญการเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากความผันผวนเศรษฐกิจโลกและการค้าโลก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศซึ่งต้องติดตามจากการแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่อีกครั้ง
ที่มา : t.ly/4wIcf