ดีอี เปิดศูนย์ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์พายุฯ แจ้งเตือนประชาชน 24 ชม.
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดศูนย์ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์พายุดีเปรสชัน เพื่อติดตามและเฝ้าระวังพายุที่มีผลกระทบต่อประเทศไทย ตลอด 24 ชม. โดยประสานงานและประเมินสถานการณ์ข้อมูลจากส่วนกลางและ 5 ศูนย์อุตุนิยมวิทยาประจำภาคต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความสามารถในการแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที ลดผลกระทบและความเสียหายจากพายุ อุทกภัย ที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน
(19 ก.ย. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดศูนย์ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์พายุดีเปรสชันของกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อติดตามและเฝ้าระวังพายุที่มีผลกระทบต่อประเทศไทย ตลอด 24 ชม. โดยประสานงานและประเมินสถานการณ์ข้อมูลจากส่วนกลางและ 5 ศูนย์อุตุนิยมวิทยาประจำภาคต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความสามารถในการแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที ลดผลกระทบและความเสียหายจากพายุ อุทกภัย ที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน
การดำเนินการเบื้องต้นจะเฝ้าระวังและติดตามความเคลื่อนไหวของพายุโซนร้อนซูลิก ซึ่งคาดว่าจะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง ในช่วงวันที่ 19 – 20 ก.ย.นี้ หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ โดยจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากกับมีลมแรงในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ จึงขอแจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวระมัดระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มได้
สทนช. คาดปริมาณฝนหนักจากพายุฯ ช่วง 20 – 22 ก.ย. สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) คาดการณ์ปริมาณฝนช่วงวันที่ 20 – 22 ก.ย. มีพายุหมุนเขตร้อนจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่ง ส่งผลบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง ขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรง ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ สำหรับพายุดีเปรสชันบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนได้ทวีกำลังขึ้นเป็นพายุโซนร้อนซูลิก คาดพายุฯ จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง ในคืนวันที่ 19 ก.ย. หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ
สธ. ดูแลประชาชนต่อเนื่องทุกกลุ่ม (19 ก.ย. 67) นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 8 เป็นประธานการประชุมทางไกลของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ครั้งที่ 3/2567 ร่วมกับกรมต่างๆ โดยขณะนี้ยังมีสถานการณ์ใน 14 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย ลำปาง พิษณุโลก พิจิตร พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง นครนายก หนองคาย บึงกาฬ นครพนม อุดรธานี ภูเก็ต สตูล และตรัง มีผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 63 อำเภอ 223 ตำบล 911 หมู่บ้าน รวม 9,477 ครัวเรือน พบผู้เสียชีวิตสะสม 43 ราย บาดเจ็บ 726 ราย ได้ตั้งศูนย์พักพิงแล้ว 96 แห่ง ใน 8 จังหวัด รองรับประชาชนได้ 25,435 ราย ปัจจุบันมีผู้เข้ารับบริการ 1,504 ราย ขณะที่สถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบรวม 66 แห่ง ได้แก่ สาธารณสุขอำเภอ 6 แห่ง โรงพยาบาล 6 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 49 แห่ง สถานบริการสาธารณสุขชุมชน (สสช.) 1 แห่ง หน่วยบริการปฐมภูมิ 2 แห่ง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 1 แห่ง และอื่นๆ 1 แห่ง ยังสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติทั้งหมด
สธ. พร้อมรับมือฝนหนักระยะนี้ในพื้นที่ 24 จังหวัด จากการติดตามสถานการณ์พบว่าประเทศไทยยังต้องเผชิญพายุหมุนเขตร้อน รวมถึงมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้วันที่ 19 – 21 ก.ย. มี 24 จังหวัดที่ต้องเสี่ยงฝนหนักถึงหนักมาก คือ
• ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด ได้แก่ บึงกาฬ สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
• ภาคตะวันออก 2 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี และตราด
• ภาคใต้ 12 จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าวันที่ 20 – 23 ก.ย. จะมีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมสูง 1,993 ตำบล พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 3,048 ตำบล และพื้นที่เสี่ยงต่ำ 2,383 ตำบล จึงได้กำชับให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ประเมิน ความเสี่ยงสถานบริการ สำรวจกลุ่มเปราะบางและเตรียมแผนการเคลื่อนย้ายไปที่ปลอดภัย รวมถึงเตรียมความพร้อมยาและเวชภัณฑ์ให้เพียงพอ
เตือนสถานการณ์น้ำลุ่มแม่น้ำโขง 17 – 22 ก.ย. สทนช. ประกาศ ฉบับที่ 15/2567 เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำบริเวณลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ
ช่วงวันที่ 17 – 22 ก.ย. เนื่องจากร่องมรสุมเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับในช่วง ที่ผ่านมาลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกหนักและมีน้ำหลากจากพื้นที่ตอนบน มีพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง
สทนช. ร่วมมืออาเซียน และ MRC ลดภัยพิบัติในลุ่มน้ำโขง ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังร่วมการประชุม Asean-MRC Water Security Dialogue ครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อ Sustainable Investment for a connected, Resilient and Water-secure Southeast Asia ในฐานะรัฐมนตรีและผู้แทนประเทศไทย รวมทั้งผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน และพันธมิตรความร่วมมือสากล ประชุมเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 67 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ระบุว่า ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีและประสบการณ์ในการรับมือกับแนวโน้ม ความท้าทาย และโอกาสในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงด้านน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติ ภายใต้สภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคแม่น้ำโขงและอาเซียน รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งและความร่วมมือระหว่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการจัดการกับความมั่นคงด้านน้ำอย่างจริงจัง ซึ่งในฐานะผู้แทนประเทศไทย ได้ร่วมแสดงจุดยืนด้านความมั่นคงด้านน้ำของไทยซึ่งประเทศสมาชิกแม่น้ำโขงจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง รวมทั้งต้องการการสนับสนุนจากพันธมิตรอาเซียน เพื่อสร้างความเข้มแข็งในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ คณะผู้แทนจากประเทศไทยได้ประชุมเพื่อหารือความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำร่วมกับเมียนมา และ สปป.ลาว
– การประชุมทวิภาคีกับเมียนมา ได้หารือประเด็นสำคัญเร่งด่วนด้านความร่วมมือชายแดนไทย
– เมียนมา เพื่อบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนบริเวณน้ำสาย – น้ำรวก และขอความร่วมมือในการดำเนินการร่วมกัน เพื่อติดตั้งสถานีวัดระดับน้ำในพื้นที่ต้นน้ำในเขตของเมียนมา การพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยร่วมกัน การขุดลอกลำน้ำพรมแดนที่ตื้นเขินที่เกิดจากตะกอนทับถมจำนวนมากจากเหตุการณ์อุทกภัย เพื่อแก้ไขปัญหาระยะสั้น และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อชะลอน้ำ เช่น การสร้างอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนเพื่อควบคุมน้ำในช่วงน้ำหลาก การอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ โดยการใช้มาตรการ Nature-based solution เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาว ทั้งนี้ เมียนมายินดีให้การสนับสนุนและรับประเด็นเพื่อเสนอรัฐบาล รวมทั้งเห็นชอบในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อหารือในรายละเอียดต่อไป
– การประชุมทวิภาคีกับ สปป.ลาว ได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการระหว่างไทย – สปป.ลาว โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านน้ำ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการและการแจ้งเตือนภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแม่น้ำโขงให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ การบริหารจัดทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เป็นการบริหารจัดการ ในลักษณะกลุ่มลุ่มน้ำ ซึ่งประเทศไทยพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้กับ สปป.ลาว เพื่อให้เกิดประโยชน์และครอบคลุมทั้งลุ่มน้ำโขง สำหรับบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย – สปป.ลาว คาดว่าจะมีการลงนามร่วมกันในการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Council – MRC Council) ภายในเดือน พ.ย. นี้ พร้อมทั้ง ได้มีการเสนอโครงการร่วมวิจัยชุมชน (Joint Community Research) ระหว่างไทยและ สปป.ลาว เพื่อส่งเสริมอาชีพและการปรับตัวของชุมชน โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ช่วยเพิ่มมูลค่าและรายได้ให้กับประชาชนริมฝั่งน้ำโขง
ของทั้งสองประเทศอีกด้วย
กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเร่งตั้งจุดให้บริการประชาชนหลังน้ำลด นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เร่งให้ความช่วยเหลือตามภารกิจ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ในส่วนของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานแต่ละจังหวัดได้จัดหาอาหารและน้ำดื่ม ไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนในเบื้องต้น
• สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 20 เชียงราย (สพร.20 เชียงราย) ระดมเจ้าหน้าที่ออกบริการซ่อมรถยนต์และเครื่องยนต์เล็กเพื่อการเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย อีกทั้งยังมีสถานประกอบกิจการ สมาคมและภาคีเครือข่ายการพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมบริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภคเพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนอีกด้วย
• สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ ลงพื้นที่ให้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับ ความเสียหายหลายรายการ เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์ พัดลม หม้อหุงข้าว และดูระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นต้น และประสานกับวิทยาลัยการอาชีพฝาง ร่วมให้ความช่วยเหลือ
สำหรับการให้ความช่วยเหลือจังหวัดอื่น ๆ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วม หน่วยงานของกรมฯ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แต่ละจังหวัดเร่งนำถุงยังชีพ อาหารสำเร็จรูป และน้ำดื่มไปส่งมอบให้กับจังหวัด เพื่อกระจายนำไปมอบแก่ประชาชน อาทิ หนองคาย น่าน สุโขทัย บึงกาฬ สตูล และภูเก็ต
ที่มา : https://citly.me/51Twp