กำหนดการยืนยันสิทธิเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
การยืนยันสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามหลักเกณฑ์จะเปิดให้ยืนยันสิทธิระหว่าง เดือนมกราคม-เดือนธันวาคมของทุกปี
** ทั้งนี้ กำหนดการขึ้นอยู่กับดำเนินการของแต่ละพื้นที่ แนะนำให้ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ท่านอาศัยอยู่เพิ่มเติม
คุณสมบัติ
- สัญชาติไทย
- มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ในปีงบประมาณ 2569 **เกิดก่อนวันที่ 2 กันยายน 2509
- ไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ผู้รับเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ที่ได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน รายได้ประจำ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่รัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดให้เป็นประจำ ยกเว้นผู้พิการและผู้ป่วยเอดส์ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548 หรือผู้ที่ได้รับสวัสดิการอื่นตามมติคณะรัฐมนตรี (สำหรับผู้สูงอายุที่ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ ณ วันที่ได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดยแนบเอกสารรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัดว่าไม่เป็นผู้ได้รับบำนาญ หรือสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
หมายเหตุ สำหรับข้อกำหนดใหม่ (มีผลตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2566) ที่ระบุว่า ต้องเป็นผู้ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด **ในขณะนี้ ยังไม่มีการกำหนดเกณฑ์ชี้วัดการมีรายได้ไม่เพียงพอ ดังนั้นตอนนี้ผู้มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ที่มีคุณสมบัติตามระเบียบเดิมข้างต้น ยังสามารถรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้
ขั้นตอนการยืนยันสิทธิ
- บุคคลใดที่มีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ ให้ยืนยันสิทธิรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดยไม่ต้องลงทะเบียน
- ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำนวยความสะดวกโดยการแจ้งไปยังผู้สูงอายุที่มีสิทธิ
หากผู้สูงอายุมีความประสงค์ที่จะรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
ให้แนบเอกสารหลักฐานข้อมูล เพื่อยืนยันสิทธิตนเองไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังต่อไปนี้
- แบบยืนยันสิทธิการขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
- บัตรประจำตัวประชาชน
- ทะเบียนบ้าน
- สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร (ในกรณีผู้ขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุประสงค์ขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผ่านธนาคาร)
เอกสารหลักฐาน ในกรณีมีความประสงค์ที่จะรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
เอกสารที่ต้องเตรียม กรณีผู้มีสิทธิดำเนิการด้วยตนเอง
- บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐที่มีรูปถ่าย
- ทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน ที่เป็นปัจจุบัน
เอกสารเพิ่มเติม
- กรณีขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผ่านธนาคาร
- สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ พร้อมสำเนา ของผู้มีสิทธิ หรือบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้มีสิทธิ
- รายชื่อธนาคารขึ้นอยู่กับดำเนินการของแต่ละพื้นที่ ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง
- กรณีผู้สูงอายุไม่สะดวกดำเนินการด้วยตนเอง
- หนังสือมอบอำนาจ (แบบฟอร์มมอบอำนาจขึ้นอยู่กับการดำเนินการของแต่ละพื้นที่ ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ
- กรณีขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผ่านธนาคาร
หมายเหตุ
- สำหรับผู้ต้องขังหรือจำคุกในเรือนจำ ทัณฑสถานหรือสถานที่คุมขังของกรมราชทัณฑ์ ให้มอบอำนาจให้ผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้อำนวยการทัณฑสถาน หรือเจ้าหน้าที่ที่ผู้บัญชาการเรือนจำมอบหมาย ยื่นต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามภูมิลำเนาของผู้มีสิทธิ โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือวันที่ยืนยันสิทธิในแบบยืนยันสิทธิการขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นสำคัญ
สถานที่ยืนยันสิทธิ
- กรุงเทพมหานคร: สำนักงานเขตที่ผู้สูงอายุมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในวัน-เวลาราชการ
- ต่างจังหวัด: ที่ว่าการอำเภอ, องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ผู้สูงอายุมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในวัน-เวลาราชการ
การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จ่ายทุกวันที่ 10 ของเดือน หากเดือนใดวันที่ 10 ตรงกับวันหยุดราชการจะจ่ายในวันทำการก่อนวันหยุดนั้น โดยจ่ายเป็นรายเดือนแบบขั้นบันได ดังนี้
- ผู้สูงอายุ 60-69 ปี จะได้รับ 600 บาท
- ผู้สูงอายุ 70-79 ปี จะได้รับ 700 บาท
- ผู้สูงอายุ 80-89 ปี จะได้รับ 800 บาท
- ผู้สูงอายุ 90 ปีขึ้นไป จะได้รับ 1,000 บาท
หมายเหตุ
- กรณีผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเสียชีวิตลง หากเป็นการเสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 1 จนถึงวันกำหนดการจ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่ผู้มีสิทธิรับเงินได้แสดงเจตจำนงเป็นลายลักษณ์อักษรให้รับเงินแทน ทั้งในขณะมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตแล้ว โดยมีพยานรับรองอย่างน้อย 2 คน หากไม่ได้แสดงเจตจำนงดังกล่าวไว้ให้จ่ายเป็นเงินสดแก่ทายาทโดยธรรมหรือโอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารในนามผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
วิธีการรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
- รับเงินสดด้วยตนเอง
- รับเงินสดโดยบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้มีสิทธิ
- โอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารในนามผู้มีสิทธิ
- โอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารในนามบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้มีสิทธิ
การสิ้นสุดการได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
- ถึงแก่กรรม
- ขาดคุณสมบัติ
- แจ้งสละสิทธิการขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นหนังสือต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ที่ตนมีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
หมายเหตุ : กรณีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีผู้สูงอายุสิ้นสุดลง ให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นๆ สั่งระงับการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุสำหรับบุคคลดังกล่าวทันที
กรณีย้ายที่อยู่
กรณีผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ย้ายภูมิลำเนาไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใหม่
- การยืนยันสิทธิ: ผู้สูงอายุจะต้องยืนยันสิทธิรับเบี้ยยังชีพต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใหม่ที่ตนได้ย้ายไป หากไม่ยืนยันสิทธิจะได้รับเบี้ยยังชีพจากองค์กรเดิมจนถึงสิ้นปีงบประมาณที่แจ้งย้ายเท่านั้น
- การจ่ายเบี้ยยังชีพ: หากผู้สูงอายุได้ยืนยันสิทธิเรียบร้อยแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใหม่จะเริ่มจ่ายเบี้ยยังชีพในเดือนถัดไป โดยต้องได้รับการยืนยันจากองค์กรเดิม
- กรณีไม่ดำเนินการ: หากผู้สูงอายุไม่ดำเนินการยืนยันสิทธิภายในปีงบประมาณที่แจ้งย้าย ก็ยังสามารถยืนยันสิทธิในภายหลังได้ และจะได้รับเบี้ยยังชีพในเดือนถัดไปหลังจากนั้น
สรุป หากมีการย้ายภูมิลำเนา ผู้สูงอายุควรทำการยืนยันสิทธิให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้ขาดการรับเบี้ยยังชีพในอนาคต
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
สอบถามเพิ่มเติม
- กรุงเทพมหานคร สามารถสอบถามได้ที่สำนักงานเขต
- ต่างจังหวัด สอบถามได้ที่เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลในท้องถิ่น
- กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เบอร์ 02-2419000 ต่อ 4131