สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการประชุมปรึกษาคดี จํานวน 7 เรื่อง ซึ่งเป็นคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ

สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการประชุมปรึกษาคดี จํานวน 7 เรื่อง ซึ่งเป็นคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ

             สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการประชุมปรึกษาคดี จํานวน 7 เรื่อง ซึ่งเป็นคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ


 

 

วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ ดังนี้

นายกวินวัชร์ เสถียรนิธิรัฐ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 71/2567)

            นายกวินวัชร์ เสถียรนิธิรัฐ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การที่คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ผู้ถูกร้องที่ 1) และสํานักงานคณะกรรมการ ข้าราชการพลเรือน (ผู้ถูกร้องที่ 2) ไม่พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องให้แล้วเสร็จภายในกําหนดระยะเวลา และไม่แจ้งผลให้ผู้ร้องทราบตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 118 เป็นเหตุ ให้ผู้ร้องไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของผู้ร้อง ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 มาตรา 27 มาตรา 41 มาตรา 53 มาตรา 68 มาตรา 76 และมาตรา 197

ผลการพิจารณา

            ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบคําร้องผู้ร้องยื่นฟ้องผู้ถูกร้องทั้ง ถูกร้องทั้งสองต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดของหน่วยงาน ทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ ศาลปกครองกลางมีคําสั่งไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณา ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งยืนตามคําสั่ง ของศาลปกครองกลาง กรณีเป็นเรื่องที่ศาลอื่นมีคําพิพากษาหรือคําสั่งถึงที่สุดแล้วตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (4) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 213

            ส่วนกรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 118 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ นั้น เป็นการยื่นคําร้องขอให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย รัฐธรรมนูญบัญญัติให้สิทธิไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 และมาตรา 231 (1) กรณีไม่เป็นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 48 ประกอบมาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับ คําร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213

            ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

นายสิริไพศาล แสงประจักษ์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 72/2567)

            นายสิริไพศาล แสงประจักษ์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การดําเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้องที่ 1) เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้องที่ 2) ผู้อํานวยการการเลือกระดับอําเภอ (ผู้ถูกร้องที่ 3) คณะกรรมการระดับจังหวัด (ผู้ถูกร้องที่ 4) และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๖๑ (ผู้ถูกร้องที่ 5) ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับอําเภอที่ได้ออกระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วย การเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2567 ข้อ 3 ที่แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วย การเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 โดยเพิ่มความเป็นข้อ 75/1 เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพและเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมต่อผู้ร้อง

ผลการพิจารณา

            ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบคําร้อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดําเนินการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นกรณีตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (2) ที่บัญญัติว่า “การใช้สิทธิ ยื่นคําร้องตามมาตรา 46 … ต้องมิใช่เป็นกรณีอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ … (2) รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบ รัฐธรรมนูญได้กําหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้ว” ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213

            ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

คําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 (เรื่องพิจารณา 39/2567)

            นายคงเดชา ชัยรัตน์ (ผู้ร้อง) ยื่นคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ผู้ถูกร้องที่ 1) มีอํานาจหน้าที่กํากับดูแลกรมราชทัณฑ์และรับทราบการบังคับใช้ กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พ.ศ. 2563 อธิบดีกรมราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 2) และผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกร้องที่ 3) มีอํานาจให้ความเห็นชอบและอนุญาตบังคับใช้ กฎกระทรวงดังกล่าว ส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวที่ห้องพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตํารวจ ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน ชัดเจนว่ามีอาการป่วยรุนแรงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 วรรคหนึ่ง (2) อีกทั้งไม่ได้ ดูแลให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 53 กระทําการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทักษิณ ชินวัตร ให้ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น ทําให้บุคคลไม่เสมอกันในกฎหมาย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗ เป็นการกระทําที่เป็นการล้มล้างอํานาจอธิปไตยฝ่ายตุลาการ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้าง การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง

            ผู้ร้องยื่นคําร้องต่ออัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ขอให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร เลิกการกระทําที่เป็นการครอบงําหรือจูงใจให้ผู้ถูกร้องทั้งสามใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่อัยการสูงสุดมีคําสั่งไม่รับดําเนินการตามที่ร้องขอผู้ร้องจึงยื่นคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสามเลิกการกระทําดังกล่าว

ผลการพิจารณา

            ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบคําร้องเป็นเพียงการกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกร้องทั้งสามปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ปรากฏข้อเท็จจริง หรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอและยังห่างไกลเกินกว่าเหตุที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสามกระทําการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49

            ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้อ ร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 334 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 33 วรรคหนึ่ง และมาตรา 37 วรรคหนึ่ง หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 18/2567)

            ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ส่งคําโต้แย้งของจําเลย (นายธีรพล อร่ามเกียรติสิริ) ในคดีหมายเลขดําที่ ผบ บ. 1/2564 คดีหมายเลขแดงที่ ผบ บ. 1/2564 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 334 ที่ให้อํานาจผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ จากการขายทอดตลาดออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีขับไล่ได้ทันที โดยไม่ต้องออกคําบังคับ ถ้ามีลูกหนี้และบริวาร อยู่ในที่ดิน ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 33 วรรคหนึ่ง และมาตรา 37 วรรคหนึ่ง หรือไม่

ผลการพิจารณา

            ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา ของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง นัดแถลงด้วยวาจา ประชุมปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันพุธที่ 15 มกราคม 2568 เวลา 09.30 นาฬิกา

เรื่อง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 27 หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 30/267)

            ศาลอาญาส่งคําโต้แย้งของโจทก์ (บริษัท ไฮเพาเวอร์ เอ็นเนอยี่ จํากัด หรือเดิมชื่อ บริษัท ไฮมีเดีย เทคโนโลยี จํากัด) ในคดีอาญาหมายเลขดําที่ อ 3177/2564 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 27 หรือไม่

ผลการพิจารณา

            ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องจัดทําความเห็นและจัดส่งสําเนาเอกสารหลักฐานตามที่ศาลรัฐธรรมนูญกําหนด ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ และให้สํานักงานศาลรัฐธรรมนูญศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเสนอ ต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (2) และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง มาตรา 63 และมาตรา 234 วรรคสอง หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 35/2567)

            ศาลปกครองกลางส่งคําโต้แย้งของผู้ฟ้องคดี ในคดีหมายเลขดําที่ บ 309/2566 ขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ดังนี้

  • พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 41 (2) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง มาตรา 63 และมาตรา 234 วรรคสอง
  • พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 98 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 63 และมาตรา 234 วรรคสอง
  • พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 98 วรรคสอง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 วรรคหนึ่ง

            อนึ่ง ในคราวประชุมวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ศาลมีมติสั่งรับไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 วรรคหนึ่ง เฉพาะประเด็นที่ขอให้วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (2) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27วรรคหนึ่งหรือไม่

ผลการพิจารณา

            ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาให้นําพยาน เอกสารที่ได้รับจากการไต่สวนในคดีเรื่องพิจารณาที่ 4/2566 เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ พร้อมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทําความเห็นและจัดส่งสําเนาเอกสารหลักฐานตามประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญกําหนด ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป

นายสนธิญา สวัสดี (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 74/2567)

            นายสนธิญา สวัสดี (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) ใช้นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 ซึ่งต่อมาเมื่อพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้เปลี่ยนแปลง กฏเกณฑ์และกลุ่มเป้าหมายของนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงเดิม เป็นการกระทําที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 257 (1) และมาตรา 258 ก. ด้านการเมือง (2) และ (3) และไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) และ (5)

ผลการพิจารณา

            ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้อง คําร้องเพิ่มเติม และเอกสารประกอบคําร้อง เป็นกรณีที่ผู้ร้องโต้แย้งนโยบายพรรคของผู้ถูกร้อง และไม่ปรากฏว่าผู้ร้องถูกละเมิด สิทธิและเสรีภาพและได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง กรณีไม่เป็นไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

 

ความรู้ทางกฎหมายเพื่อประโยชน์สังคม : บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 34 แต่หากเป็นกรณีการแสดงความเห็นในลักษณะของการวิจารณ์คําสั่งหรือคําวินิจฉัยคดีที่มิได้ กระทําโดยสุจริต โดยใช้ถ้อยคําที่มีความหมายหยาบคาย เสียดสี หรืออาฆาตมาดร้าย เป็นความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 38 และมาตรา 39 และอาจเป็นความผิดฐานดูหมิ่นศาลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198

 


ที่มา : https://shorturl.asia/3Xa2A