มาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout)
รัฐบาลมีนโยบายปฏิรูปการศึกษา และให้ความสำคัญในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา การส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาหรือพัฒนาศักยภาพตามความถนัดของผู้เรียน รวมถึงการส่งเสริมการสร้างรายได้ระหว่างเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มีคุณค่าต่อไปในอนาคต ประกอบกับในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 ได้มีมติรับทราบมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ตามข้อเสนอของ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ
เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา หมายถึง
ประชากรวัยเรียนที่อยู่ในช่วงอายุ 3 – 18 ปี และเด็กพิการตั้งแต่แรกพบความพิการถึง 18 ปี ครอบคลุมทั้งกลุ่มเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาแล้ว ได้แก่ เด็กตกหล่น เด็กออกกลางคัน และเด็กพิการที่ตกหล่น และกลุ่มเด็กที่เสี่ยงจะหลุดออกจากระบบการศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มที่เสี่ยงจะหลุดออกจากระบบการศึกษาภายใน 1 ปีการศึกษาถัดไป
เด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษา
จากการเชื่อมฐานข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทย ทำให้รู้ว่าปัจจุบันมีเด็กอยู่นอกระบบการศึกษาทั้งสิ้น 1.02 ล้านคน โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ได้แก่ ความยากจน ปัญหาครอบครัว การต้องทำงานช่วยเหลือครอบครัว และการขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา
การศึกษาเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและพัฒนาอนาคตของประเทศ การที่เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขาขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ นโยบาย Zero Dropout จึงถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้และส่งเสริมการศึกษาให้แก่เด็กทุกคน โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานดังนี้
1. การค้นหาและติดตามเด็กนอกระบบการศึกษา:
- ใช้ข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และอื่น ๆ เพื่อค้นหาและติดตามเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา
- จัดทำฐานข้อมูลที่เป็นระบบและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้สามารถติดตามเด็กที่อยู่ในความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอัปเดตทุก ๆ ภาคเรียน
- ประกาศมติคณะรัฐมนตรีเพื่อกระจายอำนาจให้แต่ละจังหวัดสามารถจัดตั้งทีมติดตามเด็กกลับมาเรียน เพื่อให้แก้ไขปัญหาได้อย่างคล่องตัว
2. การสร้างการศึกษาที่ยืดหยุ่น หนุนให้เด็กเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา มีวุฒิฯ รองรับ:
- จัดทำโครงการทุนการศึกษาและความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับเด็กที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและพื้นที่ที่มีความยากจน
- จัดหาอุปกรณ์การศึกษา ชุดนักเรียน และอาหารกลางวันฟรีสำหรับเด็กที่มีความจำเป็น
- พัฒนาหลักสูตรที่ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับความต้องการของเด็กในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ตามความสามารถและความสนใจของตนเอง
- ส่งเสริมการเรียนรู้แบบออนไลน์ และการเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา เน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้กำหนดรูปแบบการเรียนรู้เอง
- ให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางด้านจิตวิทยาสำหรับเด็กที่มีปัญหาทางครอบครัวหรือปัญหาทางอารมณ์
- เชื่อมต่อสถานศึกษากับสถานประกอบการเพื่อประกันการได้มีงานทำ สร้างรายได้ขณะเรียนรู้ ตอบโจทย์หลายครอบครัวยากจน
3. การประสานงานระหว่างหน่วยงานและองค์กรต่างๆ:
- จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อกำกับดูแลและประสานงานการดำเนินนโยบาย Zero Dropout
- ทำงานร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชน ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มทรัพยากรในการดำเนินนโยบาย และให้สังคมเห็นเป้าหมายร่วมกัน
4 มาตรการสำคัญของนโยบาย Thailand Zero Dropout
1. ค้นหา
- ค้นหา และคัดกรอง โดยนำข้อมูลเด็กนอกระบบการศึกษาในแต่ละพื้นที่ให้คนในชุมชน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน, อสม., อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ไปตรวจสอบคัดกรองเบื้องต้น ด้วยแอปพลิเคชัน Thailand Zero Dropout ที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาพัฒนาขึ้น
- โดยสแกน QR Code เพื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน บน IOS และ Android เพื่อใช้ในการสำรวจ
2. ช่วยเหลือ
- ตรวจสอบสาเหตุของปัญหาความต้องการ และนำไปสู่การวางแผนช่วยเหลือเป็นรายกรณี
- เพื่อให้ครอบคลุมการแก้ปัญหาทุกมิติ ทั้งเรื่องรายได้ สุขภาพ คุณภาพชีวิตของเด็กและครอบครัว รวมถึงการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น หรือการพัฒนาทักษะอาชีพ เป็นต้น
3. ส่งต่อ
- จัดการเรียนรู้แบบยืดหยุ่น มีคุณภาพตามเป้าหมายของเด็ก
- การทำงานตามขั้นตอนดังกล่าว จะมี Care Manager หรือผู้ดูแลรายกรณีที่อาจจะเป็นคุณครู หรืออาสาสมัครที่ใกล้ชิด ทำหน้าที่ติดตามดูแลและประสานความช่วยเหลือตามแผนที่ร่วมวางไว้
4. ดูแล
- ส่งเสริมภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการดูแล จัดการศึกษาแบบบูรณาการในลักษณะ Learn to Earn
- ให้เด็กและเยาวชนอายุ 15-18 ปี ได้พัฒนาทักษะการทำงานที่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน มีรายได้เสริมระหว่างเรียน ด้วยการสนับสนุนให้สถานประกอบการเข้าร่วมจัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ควบคู่กับการทำงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. มาตรการค้นหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาผ่านการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การค้นพบเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ดังนี้
1) บูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลของเด็กและเยาวชนระหว่างหน่วยงาน
– โดยเฉพาะข้อมูลของ ศธ. ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของ มท. รวมทั้งข้อมูลจากหน่วยงานอื่น
– มอบหมายให้ ดศ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) พม. มท. ศธ. สธ.
2) พัฒนาระบบสารสนเทศกลางในระยะยาวเพื่อรองรับการบูรณาการข้อมูลและการค้นหาให้มีประสิทธิภาพและแต่งตั้งคณะกรรมการกลางระดับชาติต่อไป
– โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นองค์ประกอบ
– หน่วยงาน/คณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง คือ คณะกรรมการกลางระดับชาติ6
2. มาตรการติดตาม ช่วยเหลือ ส่งต่อ และดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา โดยบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ
มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนแต่ละรายทั้งด้านการศึกษา สุขภาวะ พัฒนาการ สภาพความเป็นอยู่ และสภาพสังคม
1) จัดการศึกษาเชิงพื้นที่แบบบูรณาการด้วยกลไกคณะกรรมการระดับจังหวัด
– โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน
– หน่วยงาน/คณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง คือ คณะกรรมการระดับจังหวัด7
2) ช่วยเหลือ ดูแล และส่งต่อเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาด้วยระบบการช่วยเหลือและส่งต่อสำหรับเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาเป็นรายกรณี (Case Management System: CMS)8 และการบูรณาการของหน่วยงานในพื้นที่
– ทั้งนี้ การปฏิบัติงานระดับพื้นที่อาจจะดำเนินการโดยศูนย์ปฏิบัติการแบบเบ็ดเสร็จระดับตำบล “ศูนย์ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระดับตำบล” โดยให้อยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลหรือเทศบาล
– มอบหมายให้ มท. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น พม. ศธ. สธ. และ กสศ.
3. มาตรการจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่น9 มีคุณภาพและเหมาะสมกับศักยภาพของเด็กและเยาวชนแต่ละราย
มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาและพัฒนาเต็มศักยภาพของตนเอง
1) จัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น โดยให้การรับรองคุณวุฒิหรือเทียบโอนคุณวุฒิการศึกษา/ใบประกอบอาชีพหรือวิชาชีพระหว่างการจัดการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย
2) ยกระดับการมีส่วนร่วมของหน่วยงานและองค์กรระดับพื้นที่ ท้องถิ่น ชุมชน องค์กรทางศาสนา ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้การจัดการศึกษาตามอัธยาศัยมีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับพื้นที่และสภาพสังคม
3) ส่งเสริมการจัดการศึกษาหรือเรียนรู้ควบคู่กับการทำงาน (Learn to Earn) ร่วมกับผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ/วิชาชีพของเด็กและเยาวชนในการทำงานจริงให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและให้มีรายได้เสริมในระหว่างการศึกษา
หน่วยงาน/คณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง คือ หน่วยงานที่จัดการศึกษาหรือเรียนรู้ในสังกัด ศธ. ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น ดศ. มท. กระทรวงแรงงาน (รง.) หน่วยจัดการเรียนรู้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม องค์กรทางศาสนา หรือหน่วยงานอื่น ๆ
4. มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมจัดการศึกษาหรือเรียนรู้
มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ในลักษณะ Learn to Earn ให้เด็กและเยาวชนอายุ 15 – 18 ปี ได้พัฒนาทักษะการทำงานที่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน เหมาะสมตามศักยภาพและมีรายได้เสริมระหว่างการศึกษา
1) ส่งเสริมหรือจูงใจผู้ประกอบการที่เข้าร่วมจัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ควบคู่กับการทำงานด้วยมาตรการหรือกลไกทางภาษี
– มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการต่อไป
2) สนับสนุนให้สถานประกอบการเข้าร่วมจัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ควบคู่กับการทำงาน
– มอบหมายให้ รง. พิจารณากำหนดมาตรการที่เหมาะสม
เป้าหมายความสำเร็จ
1. ลดจำนวนเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา:
- ปีงบประมาณ 2567 เริ่มนำร่องปูพรมค้นหาเด็กในพื้นที่ 25 จังหวัด และพาเด็กกลับเข้าสู่ระบบได้ 20,000 คน
- ปีงบประมาณ 2568 ขยายมาตรการให้คลอบคลุมพื้นที่ 77 จังหวัด พาเด็กกลับเข้าสู่ระบบได้ 100,000 คน
- ปีงบประมาณ 2569 พาเด็กกลับเข้าสู่ระบบได้ 500,000 คน
- ปีงบประมาณ 2570 พาเด็กกลับเข้าสู่ระบบได้ 1,000,000 คน ซึ่งจะทำให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
2. พัฒนาคุณภาพการศึกษาและความสามารถของเด็ก:
- เพิ่มอัตราการจบการศึกษาขั้นพื้นฐานและลดอัตราการเลื่อนชั้นที่ล่าช้า
- ส่งเสริมการพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะชีวิตของเด็ก เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตในอนาคต
3. สร้างเครือข่ายการสนับสนุนและการมีส่วนร่วมของชุมชน:
- ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โรงเรียน และครอบครัวในการสนับสนุนการศึกษา
- สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษา นำไปสู่การออกแบบระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
ที่มา :
- https://www.eef.or.th/
- https://policywatch.thaipbs.or.th/policy/education-7
- https://shorturl.asia/wvWBV
- มติคณะรัฐมนตรีประจำวันอังคารที่ 28 พฤษภาคม 2567