สธ. เตือนประชาชนระวัง 4 กลุ่มโรคและภัยสุขภาพจากอากาศหนาวรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตฉับพลัน
กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนเฝ้าระวัง 4 กลุ่มโรคและภัยสุขภาพจากอากาศหนาว ได้แก่
- โรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบ
- โรคทางเดินอาหาร เช่น อุจจาระร่วง
- โรคฤดูหนาว เช่น หัดและมือ เท้า ปาก
- ภัยสุขภาพจากอากาศหนาว เช่น หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
พร้อมแนะนำประชาชนดูแลสุขภาพ ป้องกันความหนาว และหลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกัน รวมถึงหมั่นล้างมือ สวมหน้ากาก และรักษาความอบอุ่นของร่างกาย
นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้หลายพื้นที่ของประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็นลง ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงได้รับ ‘ผลกระทบทางสุขภาพจากภัยหนาว’ ซึ่งหมายถึง ภัยจากสภาพอากาศที่หนาวจัด อุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส และลดลงอย่างต่อเนื่องจนประชาชนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและกว้างขวาง โดยมีพื้นที่เฝ้าระวังตามข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แก่ ทุกจังหวัดของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง รวมถึงปราจีนบุรี และสระแก้ว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีพื้นที่ใดประกาศเป็นเขตประสบภัยหนาว แต่ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ดังกล่าวเฝ้าระวังติดตามผลกระทบต่อสุขภาพ พร้อมทั้งแจ้งเตือนและสื่อสารถึงประชาชนในการดูแลป้องกันสุขภาพแล้ว โดยเฉพาะโรคและภัยสุขภาพที่เกิดจากภัยหนาว 4 กลุ่ม ดังนี้
1.โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ ติดต่อจากการไอจามรดกัน หรือสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อร่วมกัน
- ลักษณะอาการ : มีอาการไข้ ไอแห้งๆ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคปอดอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อราบางชนิดที่ถุงลมปอด จากการหายใจหรือสัมผัสละอองฝอยน้ำมูกน้ำลายที่ปนเปื้อนเชื้อ จะมีอาการไข้ ไอ หายใจหอบเหนื่อย ซึ่งมักเป็นเฉียบพลัน
- พบได้ทุกกลุ่มอายุ แต่อาการจะรุนแรงในผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องและมีโรคประจำตัว
2.โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรค
- ลักษณะอาการ : อาการถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน อาจมีไข้หรืออาเจียนร่วมด้วย
3.โรคติดต่อที่สำคัญในช่วงฤดูหนาว ได้แก่ โรคหัด และโรคมือ เท้า ปาก โดยโรคหัดเกิดจากการหายใจเอาละอองอากาศที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสจากการไอ จามของผู้ป่วย หรือพูดคุยกันในระยะใกล้
- ลักษณะอาการ : อาการจะคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา แต่จะมีไข้สูง ตาแดงและแฉะ มีผื่นนูนแดงขึ้นติดกันเป็นปื้นๆ
- ปัจจุบันไม่มียารักษาจำเพาะ แต่มีวัคซีนป้องกันโดยฉีดเข็มแรกที่อายุ 9-12 เดือน และฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 2 ขวบครึ่ง
4. ภัยสุขภาพหรือการเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากอากาศหนาวโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เนื่องจากไม่มีเครื่องนุ่งห่มหรือเครื่องห่มกันหนาวที่เพียงพอ และมีประวัติการดื่มสุราเป็นประจำ
“ในช่วงอากาศหนาว ประชาชนสามารถป้องกันตนเองได้ ด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ปรุงสุก ดื่มน้ำสะอาด และดูแลอนามัยส่วนบุคคล หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น หากมีอาการไอจาม มีน้ำมูก ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ และควรสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในสถานที่แออัดหรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก ซึ่งจะช่วยป้องกันได้ทั้งโรคติดต่อทางเดินหายใจและโรคโควิด 19 รวมทั้งดูแลความอบอุ่นของร่างกาย เตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้เพียงพอกับสภาพอากาศ และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” นพ.วีรวุฒิกล่าว
เตือนภัย ดื่มสุราแก้หนาว เสี่ยงไฮโปเทอร์เมียถึงตาย
(15 ม.ค. 68) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูหนาวของทุกปีพื้นที่ในเขตภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประชาชนบางกลุ่มนิยมดื่มสุราเพื่อคลายความหนาวเย็น โดยเชื่อว่าฤทธิ์ของสุราจะทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ดื่มเป็นอย่างมากและอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต เพราะการดื่มสุราในระยะแรกนั้นจะส่งผลให้หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังจะขยายตัวทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นเพียงชั่วครู่ ร่างกายจะเริ่มระบายความร้อนมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวทำให้อุณหภูมิของร่างกายลดลง นำไปสู่ความเสี่ยงเกิดภาวะไฮโปเทอร์เมีย หรือภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิต่ำเกินไป ซึ่งส่งผลทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะในร่างกาย และในรายที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก จะออกฤทธิ์กดประสาททำให้เกิดอาการง่วง ซึม และอาจหลับท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ การดื่มสุราเพื่อคลายหนาวไม่เพียงจะเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ดื่มเป็นอย่างมาก
นางสาวศศิกานต์ แนะนำวิธีคลายหนาวด้วยการ สวมเสื้อผ้าหนา ๆ สวมถุงมือถุงเท้าและสวมหมวกให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบทั้ง 5 หมู่ เน้นผักและผลไม้ที่จะอุดมด้วยวิตามินป้องกันโรคหวัด ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น และดื่มน้ำอุ่นเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นแทนการดื่มสุรา
อุตุฯ เผย เหนือ-อีสานตอนบน ยังสัมผัสอากาศหนาวได้ถึงปลายเดือนมกราคมนี้
วันที่ 16 – 18 มกราคม 2568 ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลง 1-3 องศาเซลเซียส และมีลมแรงบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคอื่นๆ ลดลง 1-2 องศาเซลเซียส ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนยังมีปรากฏการณ์น้ำค้างแข็ง (ไม่ใช่หิมะ) ให้ได้สัมผัส ฤดูหนาวยังไม่สิ้นสุด ยังสามารถสัมผัสอากาศหนาวเย็นถึงหนาวได้ต่อเนื่องบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ถึงปลายเดือนมกราคม ขอให้ประชาชนระมัดระวังรักษาสุขภาพ ระวังอัคคีภัยเนื่องจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง ส่วนในช่วงวันที่ 19 – 22 ม.ค. 68 ขอให้ระวังอันตรายจากการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แนะนำ 5 เคล็ดลับ เตรียมตัวเดินทางและท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว
ปภ. ขอแนะนำ 5 เคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถเตรียมตัวเดินทางและท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวได้อย่างไร้กังวล เต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำที่น่าประทับใจและความปลอดภัยมากที่สุด
1. ศึกษาเส้นทางและสภาพภูมิอากาศก่อนออกเดินทาง : เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในขณะเดินทาง และจัดเตรียมเครื่องกันหนาวได้เหมาะสมกับสภาพอากาศ
2. พกอุปกรณ์ฉุกเฉินติดตัว : เช่น ไฟฉาย แบตสำรอง และชุดปฐมพยาบาล เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น
3. ขับขี่รถยนต์ด้วยความระมัดระวัง : ใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับเส้นทาง รวมถึงเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่มากเป็นพิเศษเมื่อต้องขับผ่านเส้นทางที่มีหมอกปกคลุม
4. กางเต็นท์พักแรมในบริเวณที่ปลอดภัย : หลีกเลี่ยงการกางเต็นท์ใกล้ธารน้ำ หรือทางเดินของสัตว์เพื่อความปลอดภัย
5. หลีกเลี่ยงการทำพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดอันตราย : เช่น การดื่มสุราแก้หนาว การก่อกองไฟใกล้เต็นท์ที่พักหรือการถ่ายรูปในจุดเสี่ยงอันตราย
กระทรวงเกษตรฯ แนะผู้เลี้ยงระวังโรคปาก-เท้าเปื่อยในโค-กระบือ หากพบรีบแจ้งปศุสัตว์ในพื้นที่
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตือนภัยการระบาดของโรคปากและเท้าเปื่อยในโค กระบือช่วงฤดูหนาว ขอความร่วมมือสหกรณ์โคนม ศูนย์รับนม สหกรณ์โคเนื้อ สมาคม ผู้เลี้ยงโคเนื้อและกระบือ รวมทั้งเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ร่วมเป็นเครือข่ายการเฝ้าระวัง ค้นหาโรคในสัตว์ พร้อมทั้ง ขอให้เข้มงวดด้านมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ เข้มงวดในการควบคุมและกำจัดแมลงพาหะนำโรค ทำความสะอาดฆ่าเชื้อคอกสัตว์อย่างสม่ำเสมอ เน้นย้ำให้เกษตรกรป้องกันการนำโรคเข้าฟาร์ม งดการนำเข้าสัตว์จากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคระบาดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน หรือจนกว่าสถานการณ์การระบาดของโรคสงบ หากพบสัตว์แสดงอาการป่วยหรือตายผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ อาสาปศุสัตว์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในพื้นที่ หรือ ผ่านทาง Application DLD 4.0 หรือโทรศัพท์สายด่วน 063-225-6888 เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างทันท่วงที
ที่มา : https://region7.prd.go.th/th/content/category/detail/id/57/iid/356255