1. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม
ตอบ: วันที่ 23 มกราคม 2568
ตอบ: 18 ปีบริบูรณ์
ตอบ: เปิดโอกาสให้คู่รักทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้ และเปลี่ยนคำว่า “สามี-ภริยา” เป็น “คู่สมรส”
2. การหมั้น
ตอบ: บุคคลทั้งสองฝ่ายต้องมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์จึงจะสามารถหมั้นกันได้
ตอบ: การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อผู้หมั้นส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นให้แก่ผู้รับหมั้น
ตอบ: ของหมั้นตกเป็นสิทธิของผู้รับหมั้น
ตอบ: ผู้รับหมั้นต้องคืนของหมั้นแก่ผู้หมั้น ตามหลักกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้
ตอบ: อาจต้องรับผิดชดใช้ค่าทดแทน ซึ่งศาลจะเป็นผู้ชี้ขาด
ตอบ:
- ค่าทดแทนความเสียหายต่อร่างกายหรือชื่อเสียง
- ค่าทดแทนความเสียหายจากค่าใช้จ่ายในการเตรียมสมรสโดยสุจริตและสมควร
- ค่าทดแทนความเสียหายจากการจัดการทรัพย์สินหรืออาชีพที่คาดหมายว่าจะได้สมรส
ตอบ: ได้ เพราะถือเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้หมั้นไม่สมควรสมรสด้วย
ตอบ: ไม่ต้องคืนของหมั้น
ตอบ: ไม่สามารถเรียกร้องค่าทดแทน และไม่ต้องคืนของหมั้นหรือสินสอด
ตอบ:
- กรณีบุคคลภายนอกร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตน โดยรู้หรือควรรู้ถึงการหมั้น (ต้องบอกเลิกสัญญาหมั้นก่อน)
- กรณีบุคคลภายนอกข่มขืนหรือพยายามข่มขืนคู่หมั้นของตน โดยรู้หรือควรรู้ถึงการหมั้น (ไม่ต้องบอกเลิกสัญญาหมั้น)
ทั้งนี้ การเรียกร้องค่าทดแทน ต้องทำภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ ถึงการกระทำของผู้อื่น หรือรู้ตัวผู้จะใช้ค่าทดแทน แต่ต้องไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ผู้อื่นได้กระทำการดังกล่าว
3. การสมรส
ตอบ: ต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ แต่หากมีเหตุสมควร ศาลอาจอนุญาตให้สมรสก่อนอายุ 18 ปีได้
ตอบ: ต้องมีความยินยอมของทั้งสองฝ่าย และต้องแสดงการยินยอมโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนเพื่อจดทะเบียนสมรส
ตอบ: บุคคลทั้งสองสามารถแสดงเจตนาสมรสต่อหน้าบุคคลที่บรรลุนิติภาวะ ณ ที่นั้น และให้บุคคลดังกล่าวบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาต้องจดทะเบียนสมรสภายใน 90 วันเมื่อสามารถทำได้
ตอบ:
- บุคคลวิกลจริตหรือไร้ความสามารถ
- ญาติสืบสายโลหิตโดยตรง หรือพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา
- บุคคลที่มีคู่สมรสอยู่แล้ว (สมรสซ้อนไม่ได้)
ตอบ: การสมรสที่สมบูรณ์ตามกฎหมายต้องมีการจดทะเบียนสมรส หากไม่มีการจดทะเบียน อาจไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะคู่สมรส
ตอบ: สินสอดคือทรัพย์สินที่ฝ่ายผู้หมั้นมอบให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองของฝ่ายผู้รับหมั้น เพื่อตอบแทนที่ยอมให้สมรส
ตอบ: หากไม่มีการสมรสเพราะมีเหตุสำคัญเกิดกับผู้รับหมั้น หรือมีพฤติการณ์ที่ผู้รับหมั้นต้องรับผิดชอบจนทำให้ผู้หมั้นไม่สมควรสมรส สามารถเรียกคืนสินสอดได้ตามกฎหมาย
ตอบ: การสมรสซ้อนเป็นโมฆะ (ไม่มีผลทางกฎหมาย) และอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ตอบ: การสมรสทำให้เกิดทรัพย์สินร่วมของคู่สมรส และต้องมีการจัดการทรัพย์สินตามกฎหมายว่าด้วยสินสมรสและสินส่วนตัว
ตอบ: การสมรสสามารถถูกเพิกถอนได้หากเกิดจากการถูกบังคับ ขาดความยินยอมที่แท้จริง หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหลอกลวงอีกฝ่ายให้สมรสด้วยข้อมูลเท็จที่เป็นสาระสำคัญ
4. สิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส
ตอบ: คู่สมรสมีสิทธิรับมรดกของกันและกันโดยไม่จำเป็นต้องมีพินัยกรรม
ตอบ: มีสิทธิให้ความยินยอมในการรักษาพยาบาลแทนอีกฝ่ายได้
ตอบ: คู่สมรสสามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้โดยต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่าย
ตอบ: คู่สมรสสามารถเลือกใช้นามสกุลของอีกฝ่าย หรือคงนามสกุลเดิมไว้ก็ได้
5. ทรัพย์สินและหนี้สินของคู่สมรส
ตอบ: 2 ประเภท ได้แก่ สินส่วนตัว และ สินสมรส
ตอบ: สินส่วนตัวคือทรัพย์สินที่เป็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งได้มาก่อนหรือระหว่างสมรส ได้แก่
- ทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนสมรส
- เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ หรือเครื่องมือทำมาหากิน
- ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสโดยการรับมรดกหรือการให้โดยเสน่หา
- ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้น
ตอบ: สินสมรสคือทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรสโดยทั่วไป ซึ่งรวมถึง
- ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส
- ทรัพย์สินที่ได้รับโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือที่ระบุว่าเป็นสินสมรส
- ดอกผลของสินส่วนตัว
ตอบ: กฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นสินส่วนตัว
ตอบ: ควรทำก่อนสมรส มิฉะนั้นจะถูกกำหนดโดยกฎหมายทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส
ตอบ: ได้ สามารถบอกเลิกสัญญาได้ในระหว่างที่ยังเป็นคู่สมรส หรือภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ขาดจากการสมรส
ตอบ: ได้ คู่สมรสสามารถร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมกันในเอกสารสิทธิ์ได้
ตอบ: ต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือในกรณี เช่น
- ขายหรือโอนอสังหาริมทรัพย์
- ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี
- ให้กู้ยืมเงิน
- ให้โดยเสน่หา (ยกเว้นการให้เพื่อการกุศลที่สมควร)
- ประนีประนอมยอมความ
- นำทรัพย์สินไปเป็นหลักประกัน ฯลฯ
ตอบ: ไม่สามารถยกสินสมรสเกินกึ่งหนึ่งของตนให้บุคคลอื่นได้
ตอบ: สามารถร้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้าม หรือจำกัดอำนาจในการจัดการสินสมรสของอีกฝ่ายได้
ตอบ: ใช่ หนี้ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว สินสมรส หรือหนี้ที่ทำเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ถือเป็นหนี้ร่วมกัน
ตอบ: ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลาย สินสมรสจะถูกแยกเป็นสินส่วนตัวของแต่ละฝ่ายโดยอัตโนมัติ
6. การหย่า
ตอบ: คู่สมรสต้องทำข้อตกลงเป็นหนังสือเกี่ยวกับอำนาจปกครองบุตรและค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร หากตกลงกันไม่ได้ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด และต้องจดทะเบียนหย่าจึงจะสมบูรณ์
ตอบ: เมื่อมีการจดทะเบียนหย่าต่อหน้านายทะเบียน
ตอบ: ต้องตกลงเรื่องอำนาจปกครองบุตรและค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร หรือให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน
ตอบ: แต่ละฝ่ายมีสิทธิได้รับสินสมรสคนละครึ่ง
ตอบ: ได้ เพราะถือเป็นเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมาย และอาจเรียกค่าทดแทนจากคู่สมรสฝ่ายที่กระทำผิดและบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ตอบ: สามารถเรียกค่าทดแทนจากคู่สมรสอีกฝ่าย และจากบุคคลที่เป็นเหตุให้เกิดการหย่า เช่น ผู้ที่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือผู้ล่วงเกินในทำนองชู้
ตอบ: ไม่ได้ เพราะกฎหมายกำหนดว่าหากคู่สมรสฝ่ายใดยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ จะไม่มีสิทธิฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทน
ตอบ: การประพฤติชั่วที่ทำให้อีกฝ่ายอับอายขายหน้า ถูกดูถูกเกลียดชัง หรือได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร
ตอบ: ฟ้องหย่าได้หากจงใจทิ้งร้างเกิน 1 ปี เช่น ถูกจำคุกเกิน 1 ปีโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความผิด หรือสมัครใจแยกกันอยู่เพราะอยู่ร่วมกันแบบปกติสุขไม่ได้ตลอด 3 ปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งศาลเกิน 3 ปี
ตอบ: ใช่ ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าหากเป็นการละเลยการอุปการะเลี้ยงดูหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นคู่สมรสอย่างร้ายแรง
ตอบ: สามารถฟ้องหย่าได้หากคู่สมรสหายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เกิน 3 ปีโดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ตอบ: ฟ้องหย่าได้หากคู่สมรสเป็นคนวิกลจริตตลอดมาเกิน 3 ปี และไม่มีแนวโน้มว่าจะหายจนทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้แบบคู่สมรส
ตอบ: โรคติดต่อที่เป็นอันตรายร้ายแรงและไม่มีทางรักษาหายได้ ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมาย
7. สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ของคู่สมรส
ตอบ: มีสิทธิได้รับ เช่น การลดหย่อนภาษี ประกันสังคม และบำนาญชราภาพ
ตอบ: ช่วยให้ทุกคนได้รับสิทธิในการสร้างครอบครัวอย่างเท่าเทียม และเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว