ถามตอบ สมรสเท่าเทียม

1. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม

2. การหมั้น

ตอบ: บุคคลทั้งสองฝ่ายต้องมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์จึงจะสามารถหมั้นกันได้

ตอบ: การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อผู้หมั้นส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นให้แก่ผู้รับหมั้น

ตอบ: ของหมั้นตกเป็นสิทธิของผู้รับหมั้น

ตอบ: ผู้รับหมั้นต้องคืนของหมั้นแก่ผู้หมั้น ตามหลักกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้

ตอบ: อาจต้องรับผิดชดใช้ค่าทดแทน ซึ่งศาลจะเป็นผู้ชี้ขาด

ตอบ:

  • ค่าทดแทนความเสียหายต่อร่างกายหรือชื่อเสียง
  • ค่าทดแทนความเสียหายจากค่าใช้จ่ายในการเตรียมสมรสโดยสุจริตและสมควร
  • ค่าทดแทนความเสียหายจากการจัดการทรัพย์สินหรืออาชีพที่คาดหมายว่าจะได้สมรส

ตอบ: ไม่สามารถเรียกร้องค่าทดแทน และไม่ต้องคืนของหมั้นหรือสินสอด

ตอบ:

  • กรณีบุคคลภายนอกร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตน โดยรู้หรือควรรู้ถึงการหมั้น (ต้องบอกเลิกสัญญาหมั้นก่อน)
  • กรณีบุคคลภายนอกข่มขืนหรือพยายามข่มขืนคู่หมั้นของตน โดยรู้หรือควรรู้ถึงการหมั้น (ไม่ต้องบอกเลิกสัญญาหมั้น)

ทั้งนี้ การเรียกร้องค่าทดแทน ต้องทำภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ ถึงการกระทำของผู้อื่น หรือรู้ตัวผู้จะใช้ค่าทดแทน แต่ต้องไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ผู้อื่นได้กระทำการดังกล่าว

3. การสมรส

ตอบ: ต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ แต่หากมีเหตุสมควร ศาลอาจอนุญาตให้สมรสก่อนอายุ 18 ปีได้

ตอบ: ต้องมีความยินยอมของทั้งสองฝ่าย และต้องแสดงการยินยอมโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนเพื่อจดทะเบียนสมรส

ตอบ: บุคคลทั้งสองสามารถแสดงเจตนาสมรสต่อหน้าบุคคลที่บรรลุนิติภาวะ ณ ที่นั้น และให้บุคคลดังกล่าวบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาต้องจดทะเบียนสมรสภายใน 90 วันเมื่อสามารถทำได้

ตอบ:

  • บุคคลวิกลจริตหรือไร้ความสามารถ
  • ญาติสืบสายโลหิตโดยตรง หรือพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา
  • บุคคลที่มีคู่สมรสอยู่แล้ว (สมรสซ้อนไม่ได้)

ตอบ: การสมรสที่สมบูรณ์ตามกฎหมายต้องมีการจดทะเบียนสมรส หากไม่มีการจดทะเบียน อาจไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะคู่สมรส

ตอบ: สินสอดคือทรัพย์สินที่ฝ่ายผู้หมั้นมอบให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองของฝ่ายผู้รับหมั้น เพื่อตอบแทนที่ยอมให้สมรส

ตอบ: หากไม่มีการสมรสเพราะมีเหตุสำคัญเกิดกับผู้รับหมั้น หรือมีพฤติการณ์ที่ผู้รับหมั้นต้องรับผิดชอบจนทำให้ผู้หมั้นไม่สมควรสมรส สามารถเรียกคืนสินสอดได้ตามกฎหมาย

ตอบ: การสมรสซ้อนเป็นโมฆะ (ไม่มีผลทางกฎหมาย) และอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ตอบ: การสมรสทำให้เกิดทรัพย์สินร่วมของคู่สมรส และต้องมีการจัดการทรัพย์สินตามกฎหมายว่าด้วยสินสมรสและสินส่วนตัว

ตอบ: การสมรสสามารถถูกเพิกถอนได้หากเกิดจากการถูกบังคับ ขาดความยินยอมที่แท้จริง หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหลอกลวงอีกฝ่ายให้สมรสด้วยข้อมูลเท็จที่เป็นสาระสำคัญ

4. สิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส

ตอบ: คู่สมรสมีสิทธิรับมรดกของกันและกันโดยไม่จำเป็นต้องมีพินัยกรรม

ตอบ: มีสิทธิให้ความยินยอมในการรักษาพยาบาลแทนอีกฝ่ายได้

ตอบ: คู่สมรสสามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้โดยต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่าย

ตอบ: คู่สมรสสามารถเลือกใช้นามสกุลของอีกฝ่าย หรือคงนามสกุลเดิมไว้ก็ได้

5. ทรัพย์สินและหนี้สินของคู่สมรส

ตอบ: 2 ประเภท ได้แก่ สินส่วนตัว และ สินสมรส

ตอบ: สินส่วนตัวคือทรัพย์สินที่เป็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งได้มาก่อนหรือระหว่างสมรส ได้แก่

  • ทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนสมรส
  • เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ หรือเครื่องมือทำมาหากิน
  • ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสโดยการรับมรดกหรือการให้โดยเสน่หา
  • ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้น

ตอบ: สินสมรสคือทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรสโดยทั่วไป ซึ่งรวมถึง

  • ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส
  • ทรัพย์สินที่ได้รับโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือที่ระบุว่าเป็นสินสมรส
  • ดอกผลของสินส่วนตัว

ตอบ: กฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นสินส่วนตัว

ตอบ: ควรทำก่อนสมรส มิฉะนั้นจะถูกกำหนดโดยกฎหมายทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส

ตอบ: ได้ สามารถบอกเลิกสัญญาได้ในระหว่างที่ยังเป็นคู่สมรส หรือภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ขาดจากการสมรส

ตอบ: ได้ คู่สมรสสามารถร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมกันในเอกสารสิทธิ์ได้

ตอบ: ต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือในกรณี เช่น

  • ขายหรือโอนอสังหาริมทรัพย์
  • ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี
  • ให้กู้ยืมเงิน
  • ให้โดยเสน่หา (ยกเว้นการให้เพื่อการกุศลที่สมควร)
  • ประนีประนอมยอมความ
  • นำทรัพย์สินไปเป็นหลักประกัน ฯลฯ

ตอบ: ไม่สามารถยกสินสมรสเกินกึ่งหนึ่งของตนให้บุคคลอื่นได้

ตอบ: สามารถร้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้าม หรือจำกัดอำนาจในการจัดการสินสมรสของอีกฝ่ายได้

ตอบ: ใช่ หนี้ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว สินสมรส หรือหนี้ที่ทำเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ถือเป็นหนี้ร่วมกัน

ตอบ: ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลาย สินสมรสจะถูกแยกเป็นสินส่วนตัวของแต่ละฝ่ายโดยอัตโนมัติ

6. การหย่า

ตอบ: คู่สมรสต้องทำข้อตกลงเป็นหนังสือเกี่ยวกับอำนาจปกครองบุตรและค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร หากตกลงกันไม่ได้ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด และต้องจดทะเบียนหย่าจึงจะสมบูรณ์

ตอบ: เมื่อมีการจดทะเบียนหย่าต่อหน้านายทะเบียน

ตอบ: ต้องตกลงเรื่องอำนาจปกครองบุตรและค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร หรือให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน

ตอบ: แต่ละฝ่ายมีสิทธิได้รับสินสมรสคนละครึ่ง

ตอบ: ได้ เพราะถือเป็นเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมาย และอาจเรียกค่าทดแทนจากคู่สมรสฝ่ายที่กระทำผิดและบุคคลที่เกี่ยวข้อง

ตอบ: สามารถเรียกค่าทดแทนจากคู่สมรสอีกฝ่าย และจากบุคคลที่เป็นเหตุให้เกิดการหย่า เช่น ผู้ที่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือผู้ล่วงเกินในทำนองชู้

ตอบ: ไม่ได้ เพราะกฎหมายกำหนดว่าหากคู่สมรสฝ่ายใดยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ จะไม่มีสิทธิฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทน

ตอบ: การประพฤติชั่วที่ทำให้อีกฝ่ายอับอายขายหน้า ถูกดูถูกเกลียดชัง หรือได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร

ตอบ: ฟ้องหย่าได้หากจงใจทิ้งร้างเกิน 1 ปี เช่น ถูกจำคุกเกิน 1 ปีโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความผิด หรือสมัครใจแยกกันอยู่เพราะอยู่ร่วมกันแบบปกติสุขไม่ได้ตลอด 3 ปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งศาลเกิน 3 ปี

ตอบ: ใช่ ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าหากเป็นการละเลยการอุปการะเลี้ยงดูหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นคู่สมรสอย่างร้ายแรง

ตอบ: สามารถฟ้องหย่าได้หากคู่สมรสหายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เกิน 3 ปีโดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

ตอบ: ฟ้องหย่าได้หากคู่สมรสเป็นคนวิกลจริตตลอดมาเกิน 3 ปี และไม่มีแนวโน้มว่าจะหายจนทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้แบบคู่สมรส

ตอบ:  โรคติดต่อที่เป็นอันตรายร้ายแรงและไม่มีทางรักษาหายได้ ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมาย

7. สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ของคู่สมรส

ตอบ: มีสิทธิได้รับ เช่น การลดหย่อนภาษี ประกันสังคม และบำนาญชราภาพ

ตอบ: ช่วยให้ทุกคนได้รับสิทธิในการสร้างครอบครัวอย่างเท่าเทียม และเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว