วันผู้สูงอายุแห่งชาติ 13 เมษายน

วันผู้สูงอายุแห่งชาติ: รู้คุณค่า สร้างความเข้าใจในทุกวัย

ความเป็นมาของวันผู้สูงอายุแห่งชาติ

       ประเทศไทยกำหนดให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปี ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ไทย เป็น วันผู้สูงอายุแห่งชาติ โดยมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2525 ในสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้สูงวัยในกิจกรรมต่าง ๆ และเห็นคุณค่าของท่านในฐานะบุคคลที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์และคุณธรรม

       ในระดับสากล องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปีเป็น วันผู้สูงอายุสากล (International Day of Older Persons) ซึ่งเริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2534

นิยามของผู้สูงอายุ

       ตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 ระบุว่า “ผู้สูงอายุ” หมายถึง บุคคลที่มีอายุ ตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีสัญชาติไทย โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

    • ผู้สูงอายุตอนต้น (60-69 ปี)
    • ผู้สูงอายุวัยกลาง (70-79 ปี)
    • ผู้สูงอายุวัยปลาย (80 ปีขึ้นไป)

สัญลักษณ์ของผู้สูงอายุ

       ดอกลำดวน ได้รับการเลือกเป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุแห่งชาติ เนื่องจากเป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุยืนยาว ใบเขียวตลอดปี ดอกมีกลิ่นหอม กลีบดอกแข็งไม่ร่วงง่าย เปรียบเสมือนผู้สูงอายุที่มั่นคงในคุณธรรมและเปี่ยมด้วยความอบอุ่นและความร่มเย็นแก่ลูกหลาน

กิจกรรมเนื่องในวันผู้สูงอายุ

กิจกรรมที่นิยมจัดในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ได้แก่

    • การรดน้ำดำหัว เพื่อขอพรและแสดงความกตัญญู
    • การมอบของขวัญ และสิทธิพิเศษ เช่น การโดยสารรถไฟฟ้า MRT และแอร์พอร์ตเรลลิงค์ฟรี
    • กิจกรรมในชุมชน เช่น การจัดงานรำลึกคุณูปการผู้สูงอายุ การทำบุญตักบาตร และการพบปะสังสรรค์ภายในครอบครัว

สถานการณ์และความสำคัญ

สถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทย

       จากข้อมูลของกรมการปกครอง ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุจำนวน 12,519,926 คน หรือคิดเป็น 18.94% ของประชากรทั้งประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยปี พ.ศ. 2567 ประเทศไทยเข้าสู่การเป็น สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) ซึ่งหมายถึงมีผู้สูงอายุเกิน 20% ของประชากรทั้งหมด

       ปัจจุบันรูปแบบครอบครัวของไทยเปลี่ยนไปสู่ครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ส่งผลให้ผู้สูงอายุจำนวนมากต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะภาวะ “เหงาเฉียบพลัน” ที่อาจนำไปสู่โรคซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพกายอื่น ๆ

ความสำคัญของการดูแลผู้สูงอายุ

       ผู้สูงอายุคือบุคคลที่ควรได้รับการดูแลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ด้วยความเคารพและกตัญญู โดยเฉพาะในยุคที่ครอบครัวขยายกลายเป็นครอบครัวเดี่ยว ลูกหลานจำเป็นต้องตระหนักและใส่ใจผู้สูงวัยที่อาจอยู่เพียงลำพัง ควรแสดงความรัก เอาใจใส่ พูดคุย รับฟัง และให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่าง ๆ เพื่อคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและบทบาทของท่านในครอบครัว

การดูแลผู้สูงอายุอย่างรอบด้าน

       การดูแลผู้สูงอายุจำเป็นต้องคำนึงถึงความสมดุลทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยสามารถแบ่งแนวทางการดูแลออกได้เป็น 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ การดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุ การดูแลโดยครอบครัว และการป้องกันอุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน

1. การดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุ

     ผู้สูงอายุสามารถดูแลตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีความรู้และความเข้าใจในการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ซึ่งครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และความปลอดภัยภายในบ้าน ดังนี้

สุขภาพกาย

    • รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ย่อยง่าย สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เค็มจัด หวานจัด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่น เดินช้า ๆ รำไม้พลอง โยคะ หรือกิจกรรมที่ไม่หักโหม ** หากมีโรคประจำตัว ผู้สูงอายุควรเลือกออกกำลังกายที่อยู่ในคำแนะนำของแพทย์ก่อนเสมอ
    • พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับอย่างมีคุณภาพ และหลีกเลี่ยงการงีบหลับในช่วงบ่ายแก่ ๆ

สุขภาพใจ

    • ฝึกมองโลกในแง่ดี ลดความเครียด ด้วยการทำสมาธิ สวดมนต์ หรือฟังธรรมะ
    • เข้าร่วมกิจกรรมชุมชน พบปะสังสรรค์กับเพื่อนหรือญาติ เพื่อคลายความเหงา
    • มีงานอดิเรกที่สร้างสรรค์ เช่น ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร อ่านหนังสือ หรือฟังเพลงเก่า

ความปลอดภัยภายในบ้าน

    • จัดสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้ปลอดภัย เช่น พื้นไม่ลื่น แสงสว่างเพียงพอ ไม่มีพื้นที่ต่างระดับ
    • ติดตั้งราวจับในห้องน้ำ และใช้ไม้เท้าหรืออุปกรณ์ช่วยเดินเมื่อต้องการ
    • เตรียมกล่องยาและเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินไว้ในจุดที่หยิบใช้สะดวก

2. แนวทางการดูแลผู้สูงอายุโดยครอบครัว

ครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้สูงวัย ดังนี้

ส่งเสริมสุขภาพ

    • จัดเตรียมอาหารสุขภาพครบถ้วน หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เค็มจัด และหวานจัด
    • สนับสนุนการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และดูแลให้พักผ่อนเพียงพอ
    • หมั่นพาท่านไปตรวจสุขภาพประจำปี หรือเมื่อต้องการการดูแลเฉพาะทาง

ดูแลสุขภาพจิต

    • ส่งเสริมทัศนคติเชิงบวก ชวนทำกิจกรรมผ่อนคลาย และให้มีงานอดิเรกตามความชอบ
    • อยู่เป็นเพื่อน พูดคุยอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันภาวะเหงาเฉียบพลัน
    • สนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในกิจกรรมครอบครัว ช่วยให้รู้สึกมีคุณค่า
    • สร้างบรรยากาศภายในบ้านให้สงบ อบอุ่น มีคนรับฟัง และไม่ลดบทบาทของท่านในครอบครัว

3. การป้องกันอุบัติเหตุในบ้าน

       อุบัติเหตุเป็นความเสี่ยงที่สำคัญของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการหกล้ม ซึ่งอาจส่งผลกระทบระยะยาว ดังนั้น ควรจัดบ้านให้ปลอดภัย ดังนี้

    • ปรับพื้นให้ไม่ลื่น และไม่มีสิ่งกีดขวางตามทางเดิน
    • ติดตั้งแสงสว่างอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในบริเวณบันไดและทางเดินไปห้องน้ำ
    • หลีกเลี่ยงบ้านที่มีพื้นต่างระดับ หรือจัดทำทางลาดสำหรับผู้ใช้รถเข็น
    • ติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน เช่น ราวจับในห้องน้ำ และมีกล่องปฐมพยาบาลประจำบ้าน
    • หากสมาชิกในบ้านไม่อยู่ อาจพิจารณาติดตั้งกล้องวงจรปิด หรือระบบสมาร์ทโฮม เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการดูแลจากระยะไกล

ความสัมพันธ์ระหว่างวัย

ส่งเสริมความเข้าใจระหว่างวัย

กรมกิจการผู้สูงอายุแนะนำวิธีลดช่องว่างระหว่างวัย ได้แก่

  • ยอมรับความแตกต่าง ด้วยความเข้าใจ ไม่โต้เถียงด้วยอารมณ์
  • ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น กินข้าว ดูหนัง ไปเที่ยว
  • แสดงความรัก ผ่านคำพูด การสัมผัส เช่น กอด บอกรัก ถามไถ่
  • สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ด้วยหลัก “ถามเป็น ชมเป็น แนะเป็น”

วิธีการสื่อสารกับผู้สูงอายุ

       การสื่อสารกับผู้สูงอายุอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจ ความสัมพันธ์ และความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของผู้สูงวัย โดยเฉพาะในบริบทของครอบครัวและสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงควรใช้หลักการ “ถามเป็น ชมเป็น แนะเป็น” เพื่อให้การสื่อสารเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้:

ถามเป็น

    • ตั้งคำถามด้วยความใส่ใจ โดยเน้นประเด็นที่แสดงให้เห็นว่าเรารับฟังท่านอย่างแท้จริง เช่น
      • “ยายรู้สึกไม่สบายใจเรื่องนี้ใช่ไหม เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ”
      • “ตาชอบทำกิจกรรมอะไรช่วงนี้บ้างครับ”
    • การถามอย่างอ่อนโยนจะช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคนรับฟังและให้ความสำคัญ

ชมเป็น

    • การชื่นชมผู้สูงอายุจะช่วยเสริมสร้างความภาคภูมิใจและความมั่นใจในตนเอง เช่น
      • “คุณยายขยันออกกำลังกายทุกวันเลย เก่งมากค่ะ”
      • “คุณตายังจำเรื่องราวสมัยก่อนเก่งมากเลยครับ”
    • คำชมควรจริงใจ และเน้นที่จุดแข็งหรือพฤติกรรมที่น่าชื่นชม

แนะเป็น

    • การให้คำแนะนำควรอยู่ในรูปแบบของการเสนอทางเลือก พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เช่น
      • “ยายรู้ไหมคะว่า การยืดเส้นหรือเดินเล่นทุกวันช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ ลองดูไหมคะ”
      • “ถ้าตาอยากคลายเครียด ลองฟังเพลงเก่าหรือทำสมาธิดูนะครับ”
    • หลีกเลี่ยงการสั่งหรือบังคับ เพราะอาจทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกถูกควบคุม