*มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 26 สิงหาคม 2568 มีมติให้เลื่อนระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ออกไปอีก 1 ปี จากวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2569
สรุปสาระสำคัญของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
1. หลักเกณฑ์การเป็นสมาชิกกองทุน
1.1 กิจการที่ต้องเข้าร่วมกองทุน (บังคับ)
- กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และ ไม่มีการจัดการสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมายอื่น เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนสงเคราะห์ภายในบริษัท
- นายจ้างต้องดำเนินการยื่นแบบ สกล.3 เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ตัวอย่าง: บริษัทมีพนักงาน 200 คน โดย 180 คนอยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ภาคสมัครใจ) แต่ 20 คนไม่เข้าร่วม บริษัทต้องจัดให้พนักงาน 20 คนนี้เข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมาย
1.2 กิจการที่ไม่บังคับแต่สามารถเข้าร่วมได้ (สมัครใจ)
- กิจการที่มีลูกจ้าง น้อยกว่า 10 คน หรือ ไม่อยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ. เช่น งานเกษตร งานรับใช้ในบ้าน หรือองค์กรไม่แสวงหากำไร
- หากลูกจ้างและนายจ้างตกลงกัน สามารถยื่นแบบ สกล.3/1 เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุน
ตัวอย่าง: บริษัทมีพนักงาน 8 คน ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมตามกฎหมาย แต่หากนายจ้างและลูกจ้างตกลงกันก็สามารถสมัครได้
** ข้อยกเว้นที่ไม่อยู่ในบังคับให้ลูกจ้างต้องเข้าเป็นสมาชิกกองทุนฯ
- นายจ้างที่มีลูกจ้าง ต่ำกว่า 10 คน
- นายจ้างที่จัดให้ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
(กรณีลูกจ้างไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนายจ้างมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้ลูกจ้างเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง) - นายจ้างที่จัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้าง ตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567
- กิจการที่มีกฎหมายกเว้น ไม่ให้นำหมวดที่ 13 กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง มาใช้บังคับ เช่น กิจการ/งานประมง มูลนิธิ สมาคม งานบ้านอันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย โรงเรียนเอกชนเฉพาะบุคลากรทางการศึกษา เป็นต้น
2. ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนและการนำส่งเอกสาร
2.1 การขึ้นทะเบียนครั้งแรก
- สำหรับนายจ้างที่ต้องเข้าร่วมบังคับ: ยื่นแบบ สกล.3
- สำหรับนายจ้างที่สมัครใจเข้าร่วม: ยื่นแบบ สกล.3/1
- หากอนุมัติจะได้รับหนังสือรับรองเป็นแบบ สกล.4 (สำหรับกรณีบังคับ) หรือ สกล.4/1 (สำหรับกรณีสมัครใจ)
2.2 การนำส่งเงินและแบบแสดงรายการ
- ยื่นแบบ สกล.3 หรือ สกล.3/1 พร้อมเงินสะสมและเงินสมทบ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการจ่ายค่าจ้าง
ตัวอย่าง: งวดค่าจ้างเดือนตุลาคม 2568 จะต้องนำส่งภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568
2.3 การเปลี่ยนแปลงข้อมูล
- กรณีมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล เช่น ชื่อบริษัท ที่อยู่ หรือจำนวนพนักงาน ต้องยื่นแบบ สกล.3/2
3. อัตราการส่งเงินสะสมและเงินสมทบ
- 1 ตุลาคม 2569 – 30 กันยายน 2574 : อัตราฝ่ายละ 0.25%
- 1 ตุลาคม 2574 เป็นต้นไป : อัตราฝ่ายละ 0.50%
- นายจ้างมีหน้าที่หักเงินสะสมจากค่าจ้างของลูกจ้างทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินเดือน และนำส่งภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
4. การคำนวณเงินสะสมและเงินสมทบ
- คำนวณจาก ค่าจ้างรวม เช่น ค่าล่วงเวลา (OT), ค่าตำแหน่ง, เบี้ยขยัน, ค่าเดินทาง, ค่าอาหาร และค่ากะ
- ไม่รวม โบนัส หรือค่าตอบแทนที่ไม่แน่นอน
5. กรณีการไม่นำส่งเงินสะสมหรือเงินสมทบ
- หากไม่นำส่งหรือส่งไม่ครบถ้วน ต้องชำระ เงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน
- พนักงานตรวจแรงงานจะมีหนังสือแจ้งเตือนให้นำส่งเงินที่ค้างชำระ ภายใน 30 วัน
6. การขอรับเงินคืนจากกองทุน
6.1 กรณีลูกจ้างออกจากงาน
- สิ้นสุดการจ้างงาน/ตกลงเลิกสัญญาจ้าง/นายจ้างเลิกจ้าง (ไม่ว่าจะกระทำความผิดวินัยหรือไม่)/เกษียณอายุ/ลาออก
- นายจ้างต้องออกหนังสือยืนยันการสิ้นสภาพการจ้างงาน และคืนเงินสะสมพร้อมเงินสมทบให้ลูกจ้าง ภายใน 30 วัน
6.2 กรณีลูกจ้างเสียชีวิต
- เงินจะตกเป็นของบุคคลที่ลูกจ้างระบุไว้ ในแบบหนังสือกำหนดบุคคลผู้จะพึงได้รับเงินฯ (สกล.5)
- หากไม่ระบุ จะตกเป็นของบุตร คู่สมรส บิดา มารดา ในสัดส่วนเท่า ๆ กัน
- หากไม่มีผู้รับ เงินจะตกเป็นของกองทุนสงเคราะห์
7. ประโยชน์ของกองทุนฯ
ประโยชน์ต่อลูกจ้าง
- ยกระดับมาตรฐานคุ้มครองลูกจ้าง
- ส่งเสริมการออมเงินให้กับลูกจ้าง
- เสริมสร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน
- บรรเทาความเดือนร้อนให้กับลูกจ้างและเป็นการเพิ่มหลักประกันทางส้มคม
ประโยชน์ต่อนายจ้าง
- แสดงถึงภาพลักษณ์ที่ดีของนายจ้าง
- สร้างความสัมพันธ์อันดีภายในองค์กร
- สร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างทำงานกับนายจ้างในระยะยาว
8. บทกำหนดโทษ
- นายจ้างที่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการ หรือไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงตามที่กฎหมายกำหนด หรือแจ้งข้อมูลเท็จ
- โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กฏหมายที่เกี่ยวข้อง
พระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567
- ประกาศราชกิจจานุเบกษา: วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567
- สาระสำคัญ: ให้เริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนฯ
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป
กฏกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567
- ประกาศราชกิจจานุเบกษา: วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567
- สาระสำคัญ:
– กำหนดอัตราเงินสะสมของลูกจ้าง และเงินสมทบของนายจ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2573 ในอัตรา ฝ่ายละ 0.25
– กำหนดอัตราเงินสะสมของลูกจ้าง และเงินสมทบของนายจ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2573 ในอัตรา ฝ่ายละ 0.50
กฏกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567
- ประกาศราชกิจจานุเบกษา: วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567
- สาระสำคัญ: กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับนายจ้างที่มีความประสงค์จัดการ
สงเคราะห์แก่ลูกจ้างๆ โดยได้รับยกเว้น ไม่ต้องให้ลูกจ้างเจ้าเป็นสมาชิกกองทุนฯ
ระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินเงินสะสมและเงินสมทบที่นายจ้างต้องนำส่งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567
- ประกาศราชกิจจานุเบกษา: วันที่ 23 พฤศจิกายน 2567
- สาระสำคัญ: กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการนำส่งเงินสะสม เงินสมทบ และเงินเพิ่ม
เข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ว่าด้วยการให้ลูกจ้างในกิจการที่มิได้อยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 สมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567
- ประกาศราชกิจจานุเบกษา: วันที่ 23 พฤศจิกายน 2567
- สาระสำคัญ: กำหนดให้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง มีระเบียบรองรับให้ลูกจ้าง ในกิจการที่มิได้อยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้
ระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินเงินสะสมและเงินสมทบที่นายจ้างต้องนำส่งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567
- ประกาศราชกิจจานุเบกษา: วันที่ 23 พฤศจิกายน 2567
- สาระสำคัญ: กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินเงินสะสมและเงินสมทบที่นายจ้างต้องนำส่งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เพื่อให้การดำเนินการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง แบบหนังสือกำหนดบุคคลผู้จะพึงได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กรณีลูกจ้างตาย
- ประกาศราชกิจจานุเบกษา: วันที่ 23 พฤศจิกายน 2567
- สาระสำคัญ: กำหนดแบบหนังสือกำหนดบุคคลผู้จะพึงได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กรณีลูกจ้างตาย
ประกาศคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นขอเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้าง และการออกหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้แก่นายจ้าง พ.ศ. 2567
- ประกาศราชกิจจานุเบกษา: วันที่ 23 พฤศจิกายน 2567
- สาระสำคัญ: กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นขอเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้าง และการออกหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้แก่นายจ้าง เพื่อให้การบริหารงานกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
บทความที่เกี่ยวข้อง
สอบถามเพิ่มเติม
- กองคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
โทร. 0 2660 2060 ถึง 1
Post Views: 30,220