สปสช. เตรียมพร้อม 3 คลินิกแห่งใหม่ ดูแลผู้ป่วยบัตรทองต่อเนื่อง
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เตรียมพร้อม 3 คลินิกแห่งใหม่ ดูแลผู้ป่วยบัตรทองต่อเนื่อง หลังยกเลิกสัญญา “คลินิกเวชกรรมท่าพระตลาดพลู” มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
สปสช. แจ้งผู้มีสิทธิบัตรทองกว่า 9.7 พันคนที่ขึ้นทะเบียนใช้สิทธิ “คลินิกเวชกรรมท่าพระตลาดพลู” ย้ำ อย่าตระหนก กรณี สปสช. ประกาศยกเลิกสัญญาเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 68 เป็นต้นไป เผยเตรียม “3 คลินิกเวชกรรม” เป็นหน่วยฯ ปฐมภูมิพื้นที่ใกล้เคียงให้บริการต่อเนื่องแล้ว พร้อมประสาน กทม. ให้ “ศูนย์บริการสาธารณสุข 33 วัดหงส์รัตนาราม” ยังคงเป็นหน่วยบริการประจำ และ รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ ร่วมดูแลผู้ป่วยส่งต่อเหมือนเดิม ขณะเดียวกันประสานภาคประชาชนทำความเข้าใจและดูแลประชาชนในพื้นที่ และเตรียมสายด่วน สปสช. 1330 รองรับ
นพ.วีระพันธ์ ลีธนะกุล รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ตามที่ สปสช. ได้ดำเนินการออกประกาศยกเลิกสัญญา “คลินิกเวชกรรมท่าพระตลาดพลู” เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป เนื่องจาก คลินิก เวชกรรมท่าพระตลาดพลู สร้างภาระขั้นตอนโดยกำหนดเงื่อนไขในการส่งต่อไปยังหน่วยบริการส่งต่อซึ่งศักยภาพสูงกว่าจนอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด ประกอบกับมีข้อร้องเรียนพบว่ามีการปฏิเสธการส่งตัวผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ศักยภาพสูงกว่าฯลฯ และไม่ส่งต่อไปยังหน่วยบริการที่ผู้รับบริการเคยรักษาที่เดิม ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช.จึงแจ้งยกเลิกสัญญาให้บริการสาธารณสุขฯ กับคลินิกเวชกรรมท่าพระตลาดพลู อย่างไรก็ดีเพื่อไม่ให้ประชาชนสิทธิบัตรทองที่ขึ้นทะเบียนหน่วยบริการประจำกับคลินิกฯ จำนวน 9,736 คนได้รับผลกระทบ ที่ผ่านมา สปสช. ได้มีการเตรียมการต่างๆ เพื่อรองรับการดูแลประชากรกลุ่มนี้ไว้แล้ว
ทั้งนี้ เบื้องต้น สปสช.ได้ทำการจัดสรรประชากรของคลินิกฯ ลงไปยังหน่วยบริการปฐมภูมิที่อยู่ใกล้เคียงจากคลินิกเดิม จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ คลินิกเวชกรรมเพชรเกษมท่าพระ คลินิกเวชกรรมสี่แยกท่าพระ และจรัญสนิทวงศ์คลินิกเวชกรรม ซึ่งได้ทำการกระจายกลุ่มประชากรทั้งหมดที่เป็นกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังและกลุ่มผู้ที่ไม่ป่วย จัดสรรให้คลินิกทั้ง 3 แห่ง ในจำนวนใกล้เคียงกันอย่างเป็นธรรม โดยคลินิกทั้ง 3 แห่ง สามารถให้การดูแลและให้บริการได้อย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน
นพ.วีระพันธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนหน่วยบริการประจำหรือหน่วยบริการแม่ข่ายของประชากรกลุ่มนี้ ยังคงเป็น “ศูนย์บริการสาธารณสุข 33 วัดหงส์รัตนาราม” รวมถึงในส่วนของโรงพยาบาลรับส่งต่อก็ยังคงเป็น “โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์” เช่นเดิม ซึ่ง สปสช. ได้ทำการหารือและประสานความร่วมมือกับสำนักการแพทย์และสำนักอนามัย กรุงเทพมหานครไว้เรียบร้อยแล้ว ต่างมีความยินดีในการร่วมมือเพื่อดูแลประชาชนไม่ให้ได้รับผลกระทบ และยังเป็นประชากรกลุ่มเดิมที่อยู่ในการดูแลของศูนย์บริการสาธารณสุข 33 และโรงพยาบาลเจริญกรุงฯ อยู่แล้ว
สำหรับในส่วนของผู้ป่วยที่มีนัดหมายรักษากับโรงพยาบาลต่างๆ อยู่ก่อนแล้วนั้น หลังวันที่ 1 มิถุนายน 2568 กรณีผู้ป่วยที่มีใบนัดรักษาต่อเนื่องที่โรงพยาบาลและมีใบส่งตัวเดิมแล้ว สามารถเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลตามใบนัดและขอสรุปประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลนั้นมาด้วย เพื่อดูแลติดตามการรักษาให้กับคลินิกใหม่ ส่วนผู้ป่วยที่มีนัดหมายที่โรงพยาบาลแล้วแต่ยังไม่มีใบส่งตัว ให้ไปขอประวัติการรักษาเดิมที่คลินิกเดิมหรือที่โรงพยาบาลที่รักษา นำไปให้ ที่คลินิกใหม่เพื่อพิจารณาการส่งตัว ขณะเดียวกัน สปสช. ยังได้ขอรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ผู้ป่วยรวมทั้งประวัติการรักษาต่างๆ เพื่อติดต่อและแจ้งกรณีการย้ายหน่วยบริการ พร้อมประสานและอำนวยสะดวกให้ผู้ป่วยเข้ารับบริการที่หน่วยบริการแห่งใหม่
ซึ่งในกรณีผู้ป่วยที่เข้าหลักเกณฑ์การรับบริการรถรับส่งผู้ป่วย 3 กลุ่ม ใน กทม. ประกอบด้วย ผู้ป่วยที่ทุพพลภาพ ผู้ป่วยมีภาวะติดเตียง หรือผู้ป่วยที่มีความยากลำบากที่มีนัดหมายรับบริการที่โรงพยาบาล ขอให้ประสานจัดรถรับส่งโดยสายด่วน สปสช. 1330 เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยด้วย นอกจากนี้ ยังได้มีการประสานกับเครือข่ายภาคประชาชนและร่วมลงพื้นที่คลินิกเวชกรรมท่าพระตลาดพลู และคลินิกแห่งใหม่ 3 แห่ง รวมทั้ง รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเข้ารับบริการ และการดูแลผู้ป่วยรักษาต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนหน่วยบริการให้กับประชากรกลุ่มที่ได้รับผลกระทบนี้ เพื่อไม่ให้เกิดข้อติดขัดในการดูแล และได้รับบริการอย่างต่อเนื่อง สปสช. จะทำหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการไปยังหน่วยบริการในระบบ สปสช. พื้นที่ กทม. ทุกแห่ง เพื่อขอความร่วมมือ หากมีผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบเข้ารับบริการ ขอให้หน่วยบริการให้การดูแลและเบิกจ่ายจากกองทุนผู้ป่วยนอกกรณีมีเหตุสมควร (OP Anywhere) นี้ไปก่อน นอกจากนี้ในส่วนของสายด่วน สปสช. 1330 ให้มีการเตรียมพร้อม ในการดูแลและประสานการรักษาให้กับผู้ป่วยด้วย หากกรณีเกิดปัญหาสามารถติดต่อ สายด่วน สปสช. 1330 และช่องทางออนไลน์ของ สปสช. เพื่อแก้ปัญหา
“ในการยกเลิกหน่วยบริการในครั้งนี้ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้กำชับการดำเนินการ โดยย้ำว่าจะต้องไม่ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ ซึ่งผู้ป่วยที่มีนัดหมายรักษาและผู้ป่วยโรคเรื้อรังจะต้องได้รับการรักษาที่ต่อเนื่อง โดยกรณีการยกเลิกสัญญาคลินิกเวชกรรมครั้งนี้ เป็นความจำเป็น เมื่อเกิดเหตุที่มีผลกระทบต่อผู้ป่วย จำเป็นที่สำนักงานฯ ต้องรักษามาตรฐาน เพื่อคุ้มครองประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทองด้วย” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
1. สายด่วน สปสช. 1330
2. ช่องทางออนไลน์
- ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
- Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
- https://www.facebook.com/NHSO.Thailand
ที่มา : Facebook สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ