สธ. ออกคู่มือใช้ยาสมุนไพร 6 กลุ่มโรค พร้อมติวบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มความมั่นใจในการสั่งจ่าย
          กระทรวงสาธารณสุข จัดทำคู่มือการใช้ยาสมุนไพรในเวชปฏิบัติ ครอบคลุม 6 กลุ่มโรค/อาการ และข้อมูลยาสมุนไพร 17 รายการ พร้อมจัดประชุมอบรมบุคลากรทางการแพทย์รุ่นแรก ช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจและสร้างความมั่นใจในการสั่งจ่ายยาสมุนไพรแทนยาแผนตะวันตก

วันนี้ (15 กรกฎาคม 2568) ที่โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น พลัส แวนด้า แกรนด์ แจ้งวัฒนะ นายโฆสิต สุวินิจจิต คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการอบรม “การถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในระบบบริการสุขภาพ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รุ่นที่ 1” พร้อมมอบนโยบายและทิศทางการขับเคลื่อนส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในระบบบริการสุขภาพ โดยมี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ เข้าร่วม
นายโฆสิตกล่าวว่า ภาพรวมการใช้ยาในหน่วยบริการสาธารณสุขของรัฐ ปีงบประมาณ 2567 มีมูลค่ารวม 70,543 ล้านบาท แบ่งเป็น ยาแผนตะวันตก 68,983 ล้านบาท คิดเป็น 97.79% และยาสมุนไพร 1,560 ล้านบาท คิดเป็น 2.21% กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายส่งเสริมให้มีการใช้ยาสมุนไพรในระบบบริการสุขภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้มีการต่อยอดภูมิปัญญาไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน และยังเป็นการกระจายรายได้สู่เกษตรกร ลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และเพิ่มการพึ่งพาตนเองเพื่อสร้างความมั่นคงทางยาในอนาคต โดยสนับสนุนให้มีการใช้ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติแทนการใช้ยาแผนตะวันตก โดยเฉพาะการใช้ยาสมุนไพร 32 รายการ ใน 10 กลุ่มอาการของโรคที่พบบ่อย ได้แก่
- แก้ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
- รักษาไข้หวัดและโควิด 19 แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- รักษาริดสีดวงทวาร
- บรรเทาอาการวิงเวียน
- แก้เบื่ออาหาร
- บรรเทาอาการท้องเสีย
- ช่วยเรื่องนอนไม่หลับ
- แก้อาการชาจากอัมพฤกษ์ อัมพาต
- ใช้ทาผิวหนังและแผล
 
โดยปีงบประมาณ 2568 ได้จัดงบประมาณสนับสนุน 1,000 ล้านบาท ส่วนปีงบประมาณ 2569 ได้ของบประมาณสนับสนุนเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท
นายโฆสิตกล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มการใช้ยาสมุนไพรไทยในระบบบริการสุขภาพคือ ต้องทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีความรู้ความเข้าใจและมั่นใจที่จะใช้ยาสมุนไพรในการดูแลรักษาผู้ป่วย กรมการแพทย์จึงได้จัดทำคู่มือการใช้ยาสมุนไพรในเวชปฏิบัติ (Thai Herbal Medicine In Clinical Practice : Guidebook) โดยมีคณะกรรมการบูรณาการและส่งเสริมการแพทย์แผนไทยร่วมกับการแพทย์แผนตะวันตก ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายโฆสิต สุวินิจจิต คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมการแพทย์ และ ภาคีเครือข่าย โดยมอบหมายให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญครอบคลุม 6 กลุ่มโรค/อาการ ร่วมกันพิจารณารายการยาสมุนไพรที่สามารถทดแทนยาแผนปัจจุบัน โดยอาศัยหลักฐานจากงานวิจัยทางการแพทย์แบบแผนตะวันตก รวมถึงมีการให้ข้อมูลยาสมุนไพรไทย 17 รายการ ได้แก่ ขมิ้นชัน ขิง มะขามแขก เพชรสังฆาต มะขามป้อม มะแว้ง ยาปราบชมพูทวีป ฟ้าทะลายโจร เถาวัลย์เปรียง ไพล ยาสหัศธารา ยาประคบ สารสกัดจากกัญชา CBD Enriched สารสกัดกัญชาทางการแพทย์ชนิดอัตราส่วน THC : CBD เป็น 1:1 พริก ว่านหางจระเข้ และพญายอ
แพทย์หญิงปิยะธิดา หาญสมบูรณ์ ผู้อำนวยการกองวิชาการแพทย์ กล่าวว่า การจัดอบรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ หลักฐานเชิงประจักษ์ และงานวิจัยทางคลินิกของยาสมุนไพร แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการใช้ยาสมุนไพรในการรักษาผู้ป่วย ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องการยกระดับเศรษฐกิจสุขภาพ ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นและยาสมุนไพรให้ได้มาตรฐานสากล ผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และบริการสุขภาพระดับโลก การอบรมประกอบด้วย การบรรยายทางวิชาการหลักฐานเชิงประจักษ์ของการใช้ยาสมุนไพร เสวนาการใช้ยาสมุนไพรในเวชปฏิบัติในกลุ่มโรคทางผิวหนัง กลุ่มโรคกระดูกและข้อ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้ยาสมุนไพรในการรักษาของเขตสุขภาพ โดยผู้เข้าร่วมการอบรม ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล เภสัชกร แพทย์แผนไทย นักวิชาการสาธารณสุข และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ยาสมุนไพรจากโรงพยาบาลทั้งในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สังกัดกรุงเทพมหานคร สังกัดกรมการแพทย์ และโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์จำนวนทั้งสิ้น 80 คน
สำหรับคณะทำงานจัดทำแนวทางการใช้ยาแผนไทยสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ กรมการแพทย์ ได้ทบทวนและรวบรวมสถานการณ์ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง นำมาจัดทำเป็นร่างคู่มือฯ พร้อมรับฟังความคิดเห็นก่อนปรับปรุงให้มีความเหมาะสม ครอบคลุม 6 กลุ่มโรค/อาการ ประกอบด้วย
- กลุ่มอาการระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคกระเพาะอาหาร โรคท้องผูกเรื้อรัง และโรคริดสีดวงทวาร
- กลุ่มอาการระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ อาการไอ โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลัน
- กลุ่มอาการทางกล้ามเนื้อและกระดูก ได้แก่ โรคข้อเข่าเสื่อม
- กลุ่มโรคมะเร็ง ได้แก่ ผิวหนังอักเสบจากการฉายรังสี
- กลุ่มอาการสมองและระบบประสาท ได้แก่ โรคลมชักรักษายาก อาการเกร็งและอาการปวดจากระบบประสาทส่วนกลางจากโรคปลอกประสาทส่วนกลางอักเสบ และภาวะปวดเหตุพยาธิสภาพประสาท
- กลุ่มอาการทางระบบผิวหนัง ได้แก่ การใช้ว่านหางจระเข้ในการรักษาโรคทางผิวหนัง และการใช้พญายอในการรักษาโรคทางผิวหนัง
 
โดยตัวอย่างยาสมุนไพรที่ใช้รักษา เช่น โรคกระเพาะอาหาร ใช้ยาสมุนไพรขมิ้นชัน ขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้งหลังอาหารและก่อนนอน ยาสมุนไพรขิงขนาด 2-4 กรัมต่อวัน หรืออาการไอ ใช้ยาแก้ไอผสมมะขามป้อม จิบเมื่อมีอาการไอทุก 4 ชั่วโมง เป็นต้น
ที่มา : Website กระทรวงสาธารณสุข
