สำนักงานกิจการยุติธรรม แนะนำความรู้ กระบวนการยุติธรรมในคดีอาญาในศาลยุติธรรมเบื้องต้น

สำนักงานกิจการยุติธรรม แนะนำความรู้ กระบวนการยุติธรรมในคดีอาญาในศาลยุติธรรมเบื้องต้น

กระบวนการยุติธรรมในคดีอาญาในศาลยุติธรรมเบื้องต้น

          หมายถึง กระบวนการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ โดยผ่านหน่วยงานของรัฐ เช่น ตำรวจ , พนักงานสอบสวน , อัยการ , ศาล , ราชทัณฑ์ เป็นต้น โดยจะมีการดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิด สืบสวนสอบสวน ฟ้องคดีพิจารณาพิพากษาคดี ตลอดจนการบังคับโทษภายใต้กฎหมาย


 

กระบวนการยุติธรรมในคดีอาญาในศาลยุติธรรมเบื้องต้น

1. ขั้นตอนก่อนขึ้นศาล

การสอบสวนและการฟ้องคดี

  • การแจ้งความ : ผู้ที่มีสิทธิ์แจ้งความ (ร้องทุกข์) ได้ คือ ผู้เสียหาย หรือ ผู้ที่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย เช่น ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็ก หรือผู้อนุบาลของผู้ไร้ความสามารถ และผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหาย นอกจากนี้ บุคคลทั่วไปที่พบเห็นการกระทำความผิดก็สามารถ กล่าวโทษ ต่อพนักงานสอบสวนได้
  • การสอบสวน : การรวบรวมพยานหลักฐานและการดำเนินการต่างๆ ที่พนักงานสอบสวนทำเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงและพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาในคดีอาญา รวมถึงการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ซึ่งแตกต่างจากการสืบสวนเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นเพื่อหาตัวผู้กระทำผิด
  • การส่งสำนวนให้อัยการ : เมื่อการสอบสวนคดีอาญาสิ้นสุดลง พนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานและทำความเห็นส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะสั่งฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลหรือไม่ – คำสั่งของพนักงานอัยการ : พนักงานอัยการอาจมีคำสั่งฟ้อง สั่งไม่ฟ้อง หรือสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม หากเห็นว่าจำเป็น กรณีพนักงานอัยการสั่งฟ้อง จะมีการยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อดำเนินคดีต่อไป

ผู้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 กำหนดให้บุคคลเหล่านี้ มีอำนาจฟ้องคดีอาญา

  1. พนักงานอัยการ : มีอำนาจฟ้องคดีอาญาแทนรัฐ
  2. ผู้เสียหาย : มีอำนาจฟ้องคดีอาญาได้ด้วยตนเอง หรือจะมอบอำนาจให้ผู้อื่นฟ้องแทนก็ได้

ผู้เสียหาย คือ บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดอาญา และรวมถึงบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามกฎหมาย

  • ในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถ ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาลมีอำนาจจัดการแทน
  • ในกรณีที่ผู้เสียหายเสียชีวิต ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา อาจมีอำนาจฟ้องคดีแทนได้
  • พนักงานอัยการและผู้เสียหายอาจเป็นโจทก์ร่วมกันในคดีอาญาได้

2. ขั้นตอนในศาลชั้นต้น

ขั้นที่ 1: การรับฟ้องและการให้การแก้คดี เมื่อมีการยื่นฟ้องต่อศาล และศาลรับฟ้องแล้ว ก็จะมีการไต่สวนมูลฟ้อง การให้โอกาสจำเลยในการให้การแก้คดี

1) การยื่นฟ้อง

  • ผู้เสียหายหรือพนักงานอัยการ : เป็นผู้ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อศาล
  • ผู้เสียหาย : สามารถฟ้องคดีเองได้ โดยไม่ต้องนำตัวจำเลยมาศาลในชั้นยื่นฟ้อง
  • ศาล : จะต้องทำการไต่สวนมูลฟ้องก่อน หากเป็นกรณีที่ผู้เสียหายเป็นผู้ยื่นฟ้องเอง หรือถ้าเป็นกรณีที่พนักงานอัยการเป็นผู้ยื่นฟ้อง ศาลอาจไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ก็ได้

2) การไต่สวนมูลฟ้อง

  • ศาล : มีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลยได้
  • ศาล : จะส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลย และแจ้งวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง
  • จำเลย : มีสิทธิที่จะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้องและตั้งทนายซักค้านพยานโจทก์ หรือจะแต่งตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์ก็ได้ แต่ห้ามถามคำให้การจำเลยในชั้นนี้

3) คำสั่งศาล

  • หากศาลเห็นว่าคดีไม่มีมูล : จะพิพากษายกฟ้อง ซึ่งโจทก์สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้
  • หากศาลเห็นว่าคดีมีมูล : จะมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง และออกหมายเรียกหรือหมายจับจำเลยมาศาล เพื่อทำการสืบพยานต่อไป

4) การให้การแก้คดี

  • เมื่อจำเลยมาถึงศาล : ศาลจะให้โอกาสจำเลยในการให้การแก้คดี ซึ่งจำเลยอาจให้การรับสารภาพ หรือให้การปฏิเสธ หรือให้การอื่นๆ ตามที่เห็นสมควร
  • จำเลย : มีสิทธิที่จะให้การด้วยตนเอง หรือให้ทนายความให้การแทนก็ได้

ขั้นที่ 2: การตรวจพยานหลักฐาน

           การตรวจพยานหลักฐานในศาลชั้นต้น เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการพิจารณาคดี ซึ่งคู่ความจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานและแถลงแนวทางการนำสืบต่อศาล เพื่อให้ศาลและคู่ความอีกฝ่ายทราบถึงพยานหลักฐานที่จะนำสืบ รวมถึงมีการสอบถามและพิจารณาความเกี่ยวข้องและความจำเป็นของพยานหลักฐานแต่ละรายการ ขั้นตอนการตรวจพยานหลักฐานโดยละเอียด:

  1. การยื่นบัญชีระบุพยาน คู่ความแต่ละฝ่ายจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล เพื่อแสดงรายการพยานบุคคล พยานเอกสาร หรือพยานวัตถุที่จะนำสืบในคดี
  2. การแถลงแนวทางการนำสืบ คู่ความแต่ละฝ่ายต้องแถลงแนวทางการนำสืบต่อศาล เพื่อให้ศาลทราบถึงประเด็นที่แต่ละฝ่ายจะนำสืบและเพื่อให้ศาลสามารถพิจารณาความเกี่ยวข้องและความจำเป็นของพยานหลักฐานแต่ละรายการได้
  3. การสอบถามความเกี่ยวข้องและความจำเป็นของพยาน ศาลจะสอบถามคู่ความถึงความเกี่ยวข้องและความจำเป็นของพยานหลักฐานที่แต่ละฝ่ายนำเสนอ เพื่อพิจารณาว่าพยานหลักฐานใดมีความสำคัญและจำเป็นต่อการพิจารณาคดี
  4. การตรวจสอบพยานหลักฐาน ในวันตรวจพยานหลักฐาน คู่ความจะต้องนำพยานเอกสารและพยานวัตถุที่อยู่ในความครอบครองของตน มาให้คู่ความอีกฝ่ายตรวจสอบ
  5. การยอมรับพยานหลักฐาน หากคู่ความไม่มีการโต้แย้งพยานหลักฐานใด หรือมีการโต้แย้งแต่ไม่มีเหตุผลอันสมควร ศาลอาจมีคำสั่งให้รับฟังพยานหลักฐานนั้นโดยไม่ต้องมีการไต่สวน
  6. การสืบพยาน หากมีการโต้แย้งพยานหลักฐาน หรือศาลเห็นสมควร ศาลจะทำการสืบพยานหลักฐานนั้น โดยกำหนดวันนัดสืบพยานและแจ้งให้คู่ความทราบล่วงหน้า

ขั้นที่ 3: การสืบพยานหลักฐาน จะดำเนินการตามลำดับ:

การสืบพยานโจทก์

  • โจทก์เสนอพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหา
  • พยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุ
  • จำเลยและทนายมีสิทธิ์ซักถามค้าน (Cross-examination)

การสืบพยานจำเลย

  • จำเลยเสนอพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
  • โจทก์มีสิทธิ์ซักถามค้านพยานของจำเลย

หลักการสำคัญ: การพิจารณาและสืบพยานในศาล ให้ทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

กรณีพิเศษ: การรับสารภาพ

  • ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษที่หนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง

ขั้นที่ 4: การแถลงการณ์

  • เมื่อสืบพยานเสร็จแล้ว ให้ศาลอนุญาตให้โจทก์แถลงการณ์ด้วยวาจาก่อน แล้วจึงให้จำเลยแถลงการณ์ด้วยวาจาทบทวน ข้อเถียง แสดงผลแห่งพยานหลักฐานในประเด็นที่พิพาท ต่อจากนี้ให้ศาลอนุญาตให้โจทก์แถลงตอบจำเลยได้อีกครั้งหนึ่ง

ขั้นที่ 5: การพิพากษา ศาลจะวินิจฉัยและออกคำพิพากษา ซึ่งอาจเป็น:

  • การพิพากษา ซึ่งศาลจะวินิจฉัยและออกคำพิพากษา โดยคำพิพากษาอาจมี 2 กรณีหลักๆ คือ ยกฟ้อง หรือพิพากษาว่ามีความผิด หากศาลยกฟ้อง หมายความว่าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลงโทษจำเลย หรือจำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง หากศาลพิพากษาว่ามีความผิด ศาลก็จะกำหนดโทษ ตามกฎหมายต่อไป

เมื่อศาลพิพากษาว่ามีความผิด:

  • ศาลจะกำหนดโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความผิดที่จำเลยถูกตัดสินว่ามีความผิด
  • โทษอาจเป็นได้ทั้งจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. ขั้นศาลอุทธรณ์

         เป็นขั้นตอนการพิจารณาคดีต่อจากศาลชั้นต้น โดยคู่ความที่แพ้คดีในศาลชั้นต้นมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

  • ยื่นอุทธรณ์ ภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษา ขึ้นอยู่กับคดี
  • ศาลอุทธรณ์จะพิจารณาทบทวนคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
  • อาจรับฟังพยานหลักฐานเพิ่มเติมหากจำเป็น

การยื่นคำแก้อุทธรณ์: คู่ความอีกฝ่าย (ผู้ถูกอุทธรณ์) มีสิทธิยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดเพื่อโต้แย้งคำอุทธรณ์

ผลของคำพิพากษา: คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ถือเป็นที่สุด เว้นแต่จะมีเหตุที่สามารถยื่นฎีกาต่อไปได้

4. ขั้นศาลฎีกา

       ต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาและคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 1 เดือนนับจากวันที่ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง จากนั้นศาลชั้นต้นจะส่งคำร้องและคำฟ้องฎีกาไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาต่อไป หากศาลฎีกาเห็นว่าคำร้องและคำฟ้องฎีกานั้นถูกต้องตามกฎหมาย ก็จะรับคำฟ้องและดำเนินการพิจารณาต่อไป โดยศาลฎีกาจะพิจารณาจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ปรากฏในสำนวนคดี รวมทั้งพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบ และ มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดหรือสั่งคำร้องคำขอที่ยื่นต่อศาลฎีกา คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลฎีกาถือเป็นที่สุด

สิทธิของผู้เกี่ยวข้อง

  • สิทธิของจำเลย
  • สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอาญาโดยเปิดเผย (public hearing)
  • สิทธิในการมีทนายความ
  • สิทธิในการขอประกันตัว
  • ผู้ต้องหาจะยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสิน
  • สิทธิในการปฏิเสธการให้การ

สิทธิของผู้เสียหาย

  • สิทธิในการฟ้องคดีอาญา
  • สิทธิในการฟ้องคดีแพ่งแทรกซ้อน
  • สิทธิในการได้รับข้อมูลความคืบหน้าของคดี

 


ที่มา : เว็บไซต์ สำนักงานกิจการยุติธรรม