“ฮุน มาเนต” ร้องคณะมนตรีความมั่นคง UN ประชุมด่วน อ้างไทยใช้กำลังทหารรุกรานกัมพูชา

“ฮุน มาเนต” ร้องคณะมนตรีความมั่นคง UN ประชุมด่วน อ้างไทยใช้กำลังทหารรุกรานกัมพูชา

           สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแณต ส่งจดหมายถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เรียกร้องให้จัดประชุมด่วน อ้างว่ากองทัพไทยโจมตีอย่าง “ไม่มีการยั่วยุ ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า และมีเจตนา” ครอบคลุมหลายพื้นที่ริมชายแดน ประณามว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ (กฎบัตร UN/ASEAN) พร้อมอ้างสนธิสัญญาและ MoU2543 ว่าด้วยเขตแดน และย้ำว่ากัมพูชา ตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง และเรียกร้องให้ไทยหยุดยิง ถอนกำลัง และเลิกยั่วยุ

 


 

 

 

          “ฮุน มาเนต” ส่งจดหมายถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เรียกร้องให้จัดประชุมอย่างเร่งด่วนเพื่อหยุดการรุกรานของไทย อ้างไทยเปิดฉากบุกก่อน กัมพูชาจึงตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง

          วันนี้ (24 ก.ค. 68) พลเอก ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กข้อความ ระบุว่า กองทัพไทยเปิดฉากโจมตีฐานที่มั่นของกองทัพกัมพูชาที่ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย จังหวัดอุดรมีชัย และขยายพื้นที่โจมตีไปยังพื้นที่มอมเบย ทางกัมพูชาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบโต้การรุกราน


          นอกจากนี้ กัมพูชาส่งหนังสือถึง “อาซิม อิฟติกาห์ อาหมัด” (H.E. Asim Iftikhar Ahmad) ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จัดการประชุมอย่างเร่งด่วน เพื่อยุติการรุกรานจากไทย ภานในจดหมายระบุว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2568 กองทัพไทยได้เปิดฉากการโจมตีโดยปราศจากการยั่วยุ โดยได้ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า และกระทำโดยเจตนา ต่อที่มั่นของกัมพูชาตามแนวชายแดน ซึ่งรวมถึงพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และมอมเบย ใน จ.พระวิหาร และ จ.อุดรมีชัย


          ทางกัมพูชาขอประณาม และแสดงความไม่พอใจต่อการรุกรานของกองทัพไทย การโจมตีทางทหารครั้งนี้เป็นการละเมิดอย่างชัดเจนต่อหลักการไม่รุกรานและการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธี ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงหลักการสำคัญที่บัญญัติไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติและกฎบัตรอาเซียน ที่ห้ามการข่มขู่หรือการใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐใด ๆ อีกทั้งยังเป็นการเพิกเฉยโดยสิ้นเชิงต่อเจตนารมณ์แห่งการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ซึ่งกัมพูชาได้พยายามยึดมั่นมาโดยตลอด


          เมื่อถูกรุกราน ทางกองทัพกัมพูชาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน กัมพูชาขอเรียกร้องให้ไทยหยุดโจมตีทั้งหมดทันที ถอนกำลังทหารกลับฝั่งไทย และหยุดกระทำการยั่วยุที่อาจทำให้สถานการณ์บานปลายต่อไป


          ความตึงเครียดและการสู้รบตามแนวชายแดนระหว่าง กัมพูชา-ไทย ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ปี พ.ศ.2447 และสนธิสัญญาปี พ.ศ.2450 รวมถึงแผนที่ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีน-สยาม ภายใต้ตราสารระหว่างประเทศทั้ง 2 ฉบับ และ MoU2543 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ซึ่งทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะร่วมกันปักปันเขตแดนทางบกตามเอกสารทางกฎหมายเหล่านี้


          กรณีก่อนหน้านี้ การสู้รบตามแนวชายแดนในปัจจุบันมีต้นตอมาจากการที่ไทยอ้างอธิปไตยเหนือพื้นที่ชายแดน โดยใช้แผนที่ที่จัดทำขึ้นฝ่ายเดียว ซึ่งไม่มีหลักฐานทางกฎหมายมารองรับ และขัดต่อพันธกรณีของตนภายใต้ MoU2543 เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการรุกรานครั้งนี้ นอกจากนี้ไทยยังได้กล่าวหาอย่างไม่มูลความจริงเหตุการณ์ที่ทหารไทยดเหยียบทุ่นระเบิด หลังจากที่ทหารไทยได้ลาดตระเวนออกนอกเส้นทางที่ตกลงกันไว้ และสร้างเส้นทางใหม่เข้ามาในดินแดนกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิด และไทยก็ทราบดี


          การรุกรานครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่าประณามอย่างยิ่ง ขณะที่กัมพูชาตั้งใจหาทางแก้ไขปัญหาชายแดนที่สะสมมานานผ่านช่องทางกฎหมายที่สันติและเป็นกลางกับประเทศไทยผ่านกลไกทวิภาคีและกลไกอื่น ๆ ในระดับนานาชาติ และอย่างที่ประชาคมระหว่างประเทศทราบดีว่า รัฐบาลกัมพูชาได้ตัดสินใจเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2568 ที่จะยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อพิจารณาตัดสินพื้นที่ชายแดนที่มีข้อพิพาท 4 แห่ง ได้แก่ มอมเบย, ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย การยกระดับความขัดแย้งทางทหารของไทยครั้งนี้เกิดขึ้นแม้ว่าจะมีเสียงเรียกร้องให้อดทนและหาแนวทางแก้ไขโดยสันติ และแม้กัมพูชาจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเจรจา ซึ่งรวมถึงการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 14-15 มิถุนายน พ.ศ. 2568


ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงการรุกรานที่ร้ายแรงของไทยแล้ว ซึ่งคุกคามสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอย่างสาหัส ข้าพเจ้าจึงขอร้องให้จัดการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) อย่างเร่งด่วน เพื่อยุติการรุกรานของไทย ข้าพเจ้าจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งหากจะกรุณาเวียนจดหมายฉบับนี้ให้แก่สมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงฯ เพื่อใช้เป็นเอกสารของคณะมนตรีฯ ต่อไป


 

ที่มา :