กองทัพบก ยกระดับมาตรการรับมือภัยคุกคามจากโดรน

กองทัพบก ยกระดับมาตรการรับมือภัยคุกคามจากโดรน

       กองทัพบก ยกระดับมาตรการรับมือภัยคุกคามจากโดรน หลังพบมีความพยายามบินตรวจการณ์ที่ตั้งทางทหาร บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่และทุกภาคส่วน สกัดกั้นและติดตามจับกุมผู้บังคับหรือใช้โดรนไม่ทราบฝ่าย พร้อมกำหนดแนวทางการใช้อาวุธในการต่อต้านอากาศยานไร้นักบิน

       หากประชาชนพบเห็นหรือทราบเบาะแสเกี่ยวกับการบังคับหรือปล่อยอากาศยานไร้นักบินที่อาจฝ่าฝืนประกาศดังกล่าว

สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่

  • สายด่วนความมั่นคง 1374 ตลอด 24 ชั่วโมง

          กองทัพอากาศ ได้ตรวจพบความพยายามในการใช้โดรนบินสำรวจที่ตั้งทางทหารและหน่วยงานราชการจำนวนมากในหลายพื้นที่ที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นภัยร้ายแรงที่ส่อให้เห็นถึงความพยายามในการสอดแนม เพื่อกระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อโครงสร้างพื้นฐานทางทหารและอาจรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานพลเรือน เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจในการใช้ระบบ Anti Drone ในการทำลายเป้าหมายได้ทันที และผู้ที่กระทำผิด จะเข้าข่ายความผิดฐานจารกรรม/สายลับ ที่กระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร มีบทลงโทษรุนแรง ถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต

          ปัจจุบัน สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย กัมพูชา ยังคงต้องเฝ้าระวัง โดรนคือภัยคุกคามที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและชีวิตประชาชน กองทัพอากาศจึงขอความร่วมมือประชาชนทุกท่านที่พบเห็นหรือทราบเบาะแสเกี่ยวกับการบินของโดรน รวมทั้งผู้ที่บังคับโดรน ที่อาจฝ่าฝืนกฎหมายได้แจ้งสายด่วนความมั่นคง 1374 หรือหน่วยงานราชการใกล้เคียง ได้ตลอด 24 ชม.

 

       ตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เรื่องห้ามมิให้ผู้ใดบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน หรือ “โดรน” ที่ควบคุมการบินจากภายนอก, ทุกวัตถุประสงค์การใช้งาน, และทุกพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบัน

       ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจในการใช้ระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone System) รวมถึงสามารถดำเนินการทำลายโดรนจากภาคพื้นดินได้ทันที

       ในการนี้ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ถึง 4 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ถึง 4 ดำเนินมาตรการตามแนวทางดังต่อไปนี้

  • ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด โดยมีรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ฝ่ายทหาร) เป็นผู้รับผิดชอบในการหารือและประสานการปฏิบัติกับส่วนราชการ หน่วยงาน และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคเป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุมและวางแผนภาพรวมในการป้องกันและต่อต้านการใช้โดรนไม่ทราบฝ่าย
  • ให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ จังหวัด ตำรวจภูธรจังหวัด หน่วยงานความมั่นคง ภาคเอกชน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งจัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร็ว ประกอบด้วยกำลังจากฝ่ายพลเรือน ตลอดจนตำรวจจากสถานีตำรวจภูธร และสารวัตรทหาร เพื่อดำเนินการสกัดกั้นและติดตามจับกุมผู้บังคับหรือใช้โดรนไม่ทราบฝ่าย

สำหรับแนวทางการใช้อาวุธในการต่อต้านอากาศยานไร้นักบิน แบ่งเป็นกรณี ดังนี้

  1. กรณีมีการใช้อาวุธก่อน หรือพบพฤติการณ์เป็นภัยคุกคามร้ายแรง ที่อาจกระทบต่อชีวิตของกำลังพลและประชาชน รวมถึงอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ ให้หน่วยที่วางกำลังตามแนวชายแดนสามารถใช้อาวุธประจำกายหรืออาวุธประจำหน่วยเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามได้ทันที
  2. กรณีตรวจพบในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และ 2
    • พื้นที่แนวหน้า: สามารถใช้ทั้งมาตรการ Soft Kill และ Hard Kill ได้
    • พื้นที่ส่วนหลัง: ให้ใช้ Soft Kill เป็นลำดับแรก หากไม่สามารถดำเนินการได้ จึงให้ใช้ Hard Kill โดยต้องใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือทรัพย์สินของประชาชน
  3. กรณีตรวจพบในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 และ 4
    • ให้เน้นการใช้มาตรการ Soft Kill ก่อนเป็นลำดับแรก หากสถานการณ์จำเป็น ให้ใช้มาตรการ Hard Kill ตามความเหมาะสม
    • การใช้อาวุธให้ถือเป็นความรับผิดชอบหลักของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยหน่วยทหารสามารถใช้อาวุธได้เฉพาะในขอบเขตที่ตั้งและพื้นที่รับผิดชอบของหน่วย โดยใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง และต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์

       ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นหรือทราบเบาะแสเกี่ยวกับการบังคับหรือปล่อยอากาศยานไร้นักบิน ที่อาจฝ่าฝืนประกาศดังกล่าว สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สายด่วนความมั่นคง 1374 ตลอด 24 ชั่วโมง