กรมที่ดิน แนะนำกฎหมายน่ารู้ เรื่อง เมื่อที่ดิน ยังเป็นชื่อเจ้าของที่เสียชีวิต
ในโลกแห่งกฎหมายและทรัพย์สิน การรับมรดกที่ดินอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาล่วงเลยไปนานหลายปีหลังจากเจ้าของที่ดินเสียชีวิต บทความนี้จะเจาะลึกถึงขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติสำหรับการรับมรดกที่ดินในกรณีที่ไม่มีการจัดการมรดกมาเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายคนอาจประสบพบเจอและสงสัยว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร

เมื่อเวลาผ่านไป มรดกที่ดินที่ถูกทิ้งไว้
- เมื่อเจ้าของที่ดินจากไป ทรัพย์สินทั้งหมดรวมถึงที่ดินจะตกเป็นของทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรมโดยอัตโนมัติ แต่การโอนกรรมสิทธิ์ทางกฎหมายนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเอง ทายาทต้องดำเนินการเพื่อเปลี่ยนชื่อในโฉนดที่ดินให้เรียบร้อย แต่ในหลาย ๆ ครอบครัว การจัดการมรดกอาจถูกละเลยด้วยเหตุผลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความไม่รู้ในขั้นตอนทางกฎหมาย ความขัดแย้งภายในครอบครัว หรือแม้กระทั่งความยุ่งยากในการรวบรวมเอกสาร ทำให้โฉนดที่ดินยังคงเป็นชื่อของเจ้าของเดิมที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารจัดการทรัพย์สินในอนาคต
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมรดกที่ดินไม่มีการจัดการ
การปล่อยให้มรดกที่ดินอยู่ในสถานะที่ไม่ชัดเจนเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น
- การจัดการทรัพย์สิน: ทายาทไม่สามารถนำที่ดินไปขาย, จำนอง, หรือทำนิติกรรมใด ๆ ได้อย่างเต็มที่
- ความขัดแย้งระหว่างทายาท: เมื่อเวลาผ่านไป ทายาทรุ่นต่อ ๆ ไปอาจมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องการแบ่งปันที่ดิน
- ความยุ่งยากในการรวบรวมเอกสาร: เอกสารที่จำเป็นในการดำเนินการ เช่น ใบมรณบัตรหรือโฉนดที่ดิน อาจสูญหายหรือหาได้ยากขึ้น
- การถูกครอบครองปรปักษ์: หากที่ดินถูกปล่อยทิ้งร้างและบุคคลอื่นเข้ามาครอบครองอย่างเปิดเผย อาจนำไปสู่การถูกครอบครองปรปักษ์ได้
ขั้นตอนการรับมรดกที่ดินหลังเจ้าของเสียชีวิตไปนานแล้ว
หากคุณเป็นหนึ่งในทายาทที่ต้องรับมือกับสถานการณ์นี้ อย่าเพิ่งท้อใจ เพราะถึงแม้จะผ่านมานานแค่ไหน คุณก็ยังสามารถดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายได้ ดังนี้
1. ตรวจสอบสถานะและรวบรวมเอกสาร
- สิ่งแรกที่ต้องทำคือการรวบรวมเอกสารสำคัญทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินมรดก ได้แก่ ใบมรณบัตร และ โฉนดที่ดิน ซึ่งถ้าหาไม่เจอสามารถขอคัดสำเนาจากสำนักงานที่ดิน นอกจากนี้ยังต้องรวบรวมเอกสารที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับผู้เสียชีวิต เช่น ทะเบียนบ้าน, บัตรประชาชน และสูติบัตร
2. พิจารณาว่าใครคือทายาทโดยชอบธรรม
- หากไม่มีพินัยกรรม กฎหมายจะกำหนดว่าทายาทโดยธรรมมีลำดับดังต่อไปนี้:
- ผู้สืบสันดาน (ลูก หลาน เหลน ลื้อ)
- บิดามารดา
- พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
- พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
- ปู่ ย่า ตา ยาย
- ลุง ป้า น้า อา
- หากไม่มีพินัยกรรม กฎหมายจะกำหนดว่าทายาทโดยธรรมมีลำดับดังต่อไปนี้:
3. การดำเนินการโอนมรดกที่สำนักงานที่ดิน
- หากทายาททุกคนสามารถตกลงกันได้และพร้อมที่จะไปดำเนินการพร้อมกันที่สำนักงานที่ดิน สามารถนำเอกสารทั้งหมดไปยื่นเรื่องขอจดทะเบียนโอนมรดก โดยต้องให้เจ้าหน้าที่ทำการประกาศการรับมรดกเป็นเวลา 30 วัน หากไม่มีผู้คัดค้านใด ๆ ก็สามารถทำการโอนกรรมสิทธิ์ได้
หลักฐานที่ต้องนำไปประกอบการขอรับมรดก
1. โฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือหลักฐานการเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้าง หรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด
2. หลักฐานการเป็นทายาท เช่น บัตรประจำตัวประชาชน
3. หลักฐานที่แสดงว่าผู้รับมรดกเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกตามกฎหมาย
4. พินัยกรรม (ถ้ามี)
5. กรณีบุตรบุญธรรมเป็นผู้ขอรับมรดก ต้องแสดงหลักฐานการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม
6. ถ้ามีกรณีพิพาทเกี่ยวกับมรดก ต้องนำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือคำพิพากษาอันถึงที่สุดไปแสดง
ในกรณีที่มีผู้จัดการมรดก หลักฐานที่ต้องนำไป
1. คำสั่งศาลหรือคำพิพากษาของศาล หรือพินัยกรรมซึ่งตั้งให้ผู้ขอเป็นผู้จัดการมรดก
2. บัตรประจำตัวของผู้จัดการมรดก
3. โฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด หรือหลักฐานการเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้าง
4. การฟ้องผู้จัดการมรดก (หรือที่เรียกกันว่า “ฟ้องผี”)
ในกรณีที่ทายาทไม่สามารถตกลงกันได้ หรือบางคนไม่ให้ความร่วมมือ คุณจำเป็นต้องใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อดำเนินการผ่านศาล ซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า การยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “การฟ้องผี”
การ “ฟ้องผี” คือกระบวนการที่ทายาทคนใดคนหนึ่งยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งตนเองหรือบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อศาลมีคำสั่งแล้ว ผู้นั้นจะมีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตตามกฎหมายและนำคำสั่งศาลไปยื่นเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินได้
การรับมรดกที่ดินที่ถูกปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานอาจดูเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ถ้าคุณเข้าใจขั้นตอนและเตรียมพร้อมด้านเอกสารอย่างรอบคอบ การจัดการทรัพย์สินที่ตกทอดจากบรรพบุรุษก็จะไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากไม่แน่ใจ ควรขอคำปรึกษาจากทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมรดกเพื่อความถูกต้องและราบรื่นในการดำเนินการ
หากมีข้อสงสัยข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่
- กรมที่ดิน โทร 0 2141 5555
ที่มา : Facebook กรมที่ดิน Fanpage