ถามตอบ คนละครึ่ง พลัส

คำถามที่พบบ่อยโครงการคนละครึ่งพลัส

1. ประชาชน

เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล โดยภาครัฐจะร่วมจ่ายค่าสินค้าและบริการบางประเภทให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อลดรายจ่ายให้ประชาชนมีกำลังจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และสร้างรายได้แก่ร้านค้ารายย่อย นำไปสู่การกระตุ้นและพื้นฟูเศรษฐกิจไทย

  1. มีสัญชาติไทย
  2. อายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
  3. มีบัตรประจำตัวประชาชน
  4. ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 1 ต.ค. 68
  5. ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือเรียกเงินคืนในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 – 5
  • ภาครัฐจ่าย 50% (ไม่เกิน 200 บาท/คน/วัน) โดยกำหนดวงเงินสิทธิ ดังนี้
    – ประชาชนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี*: 2,400 บาท/คน
    – ประชาชนผู้ไม่ยื่นแบบภาษี: 2,000 บาท/คน
  • ตลอดระยะเวลาใช้จ่ายในโครงการ ตั้งแต่ 29 ต.ค. 68 – 31 ธ.ค. 68

หมายเหตุ:

     * ประชาชนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้กรณีทั่วไป (ภ.ง.ด. 90) แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากรประเภทเดียว (ภ.ง.ด. 91) หรือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 95) ของปีภาษี 2567 ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568

  • ประชาชนที่เป็นไปตามคุณสมบัติที่กำหนด โดยประชาชนที่เคยรับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 (ปี 2565) ต้องกดปุ่มยืนยันสิทธิ ผ่านช่องทางแอปฯ เป๋าตัง
  • ประชาชนที่ไม่เคยรับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 (ปี 2565) ต้องลงทะเบียนและกดยืนยันสิทธิผ่านช่องทางแอปฯ เป๋าตัง

หมายเหตุ การรับสิทธิโครงการคนละครึ่ง พลัส เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด)

  • ลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง กดผ่านแบนเนอร์ของโครงการคนละครึ่ง พลัส เท่านั้น
  • ตั้งแต่วันที่ 20 – 26 ต.ค. 68 (จนกว่าจะครบจำนวนสิทธิ หรือครบวงเงินงบประมาณของโครงการ) เวลา 06.00 -22.00 น.ของทุกวัน
  • กรณีประชาชนที่ไม่เคยได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 (ปี 2565) ต้องกดปุ่มยืนยันการรับสิทธิผ่านแอปฯ เป๋าตัง
  • โดยจะมีการแจ้งผลการลงทะเบียนผ่านแจ้งเตือนบนแอปฯ เป๋าตัง ประมาณ 3 วัน หลังจากลงทะเบียนรับสิทธิ

ประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะไม่สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้

  • ประชาชนที่เคยใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 (ปี 2565) ลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง จะมีแจ้งเตือนบนแอปฯ เป๋าตัง ทันที
  • ประชาชนที่ไม่เคยใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 (ปี 2565) ลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง จะได้รับ SMS และแจ้งเตือนบนแอปฯ เป๋าตัง ภายใน 3 วัน

ประชาชนต้องใช้จ่ายค่าสินค้า บริการ (ตามเงื่อนไขของโครงการ) ผ่านกระเป๋าเงิน G Wallet บนแอปฯ เป๋าตัง กับร้านค้าถุงเงินที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส

  • ประชาชนต้องใช้จ่าย (ใช้สิทธิ) ครั้งแรกภายในวันที่ 11 พ.ย. 68 เวลา 23.00 น. จึงจะสามารถใช้สิทธิได้ตลอดระยะเวลาโครงการ
  • หากไม่ใช้สิทธิภายในวันเวลาดังกล่าวจะถือว่าไม่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการและถูกตัดสิทธิจากโครงการ
  • ใช้จ่ายผ่านแอปฯ เป๋าตัง G Wallet ในโครงการคนละครึ่ง พลัส ได้ตั้งแต่ 29 ต.ค. 68 – 31 ธ.ค. 68
  • โดยสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ระหว่างเวลา 06.00 – 23.00 น.
  • ส่วนกรณีใช้จ่ายซื้ออาหาร/เครื่องดื่มผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ที่เข้าร่วมโครงการ จะสามารถเริ่มใช้จ่ายได้วันที่ 7 พ.ย. 68 ระหว่างเวลา 06.00 – 21.00 น.
ตามรายละเอียดโครงการ คนละครึ่งพลัส
  • ผู้ที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2567 จะได้รับสิทธิ์ใช้จ่าย 2,400 บาท/คน
  • กรณีที่ปีภาษี 2567 ไม่ได้ยื่นแบบภาษี จะได้รับสิทธิ์ 2,000 บาท/คน ตามเงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนด

2. ร้านค้า

นิติบุคคลที่สามารถเข้าร่วมโครงการประกอบด้วย

  1. นิติบุคคลตาม พ.ร.บ. กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2547 พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 พ.ร.บ. สหกรณ์ พ.ศ. 2542
  2. ผู้ให้บริการขนส่งมวลชนสาธารณะ
  3. นิติบุคคลขนาดเล็ก (ภ.ง.ด. 50 รอบบัญชีปี 2567 ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2568)

การรับเงินจากโครงการ รับผ่านบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทยเท่านั้น

  • ส่วนที่ 1 เงินส่วนประชาชนชำระ (G Wallet): จะได้รับ 1 วันถัดไปนับจากวันที่ทำรายการ เวลา 02.00 น. เป็นต้นไป
  • ส่วนที่ 2 เงินส่วนของภาครัฐ: จะได้รับ 1 วันถัดไปนับจากวันที่ทำรายการ เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป

กรณีที่เป็นธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่เป็นเฟรนไชส์และธุรกิจบริการ (ยกเว้นนวด สปา ทำเล็บ ทำผม) จะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้

ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ให้อัปเดตแอปฯ ถุงเงินเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดและต้องทำการกดยอมรับเงื่อนไขโครงการบนแบนเนอร์โครงการคนละครึ่ง พลัส บนแอปฯ ถุงเงินก่อน

ตามเงื่อนไขและข้อตกลงการเข้าร่วมโครงการ ร้านค้าไม่สามารถปฏิเสธการรับสิทธิจากประชาชนได้

  1. มีบัญชีธนาคารกรุงไทย และสมัครเป็นร้านค้าถุงเงินสำเร็จ
  2. เตรียมบัตรประจำตัวประชาชน และรูปถ่ายร้านค้าที่มีรูปเจ้าของขณะประกอบกิจการ
  3. ตรวจสอบประเภทกิจการและดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัคร ไปยื่นสมัครกับหน่วยงานดังนี้
    • หน่วยงานกระทรวงมหาดไทย (แบบฟอร์ม สำหรับเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย)
      –  ร้านค้าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป
      –  ร้านค้า/บริการของวิสาหกิจชุมชน และ OTOP
      –  สามล้อถีบ
      –  ร้านทำผม ทำเล็บ
    • หน่วยงานธนาคารกรุงไทย (แบบฟอร์ม สำหรับเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย)
      –  ผู้ประกอบการขนส่งที่ต้องมีใบอนุญาตขับขี่สาธารณะ (เช่น TAXI-METER รถตู้โดยสารสาธารณะ
      รถจักรยานยนต์สาธารณะ เป็นต้น)
      –  ร้านให้บริการนวดสปา ที่มีใบอนุญาตสถานประกอบการ
      –  ร้านค้านิติบุคคลขนาดเล็ก (ภ.ง.ด. 50) รอบบัญชีปี 2567 ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2568*
  4. นำเอกสารที่ได้รับการรับรองเรียบร้อยแล้ว ติดต่อ ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ

หมายเหตุ:

  • * เฉพาะที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 68 และงบการเงินตามมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร (ภ.ง.ด. 50) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2567 ซึ่งขายอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป หรือให้บริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผมและให้บริการขนส่งสาธารณะ โดยมีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 กันยายน 2568
  • ทั้งนี้ ผู้ให้บริการนวด สปา หรือผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะจะต้องได้รับใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย

สามารถเข้าไปทำรายการได้ที่ www.ถุงเงินกรุงไทย.com ที่แถบเมนู “จัดการร้านค้า”

3. แอปฯ เป๋าตัง

สมาร์ทโฟนที่มีระบบปฏิบัติการ Android Version 10.0 ขึ้นไป และระบบ iOS Version 15.0 ขึ้นไป

กรณีเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุล ชื่อที่แสดงบน G Wallet จะแสดงเป็นข้อมูลใหม่ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับการใช้สิทธิโครงการภาครัฐแต่อย่างใด เพราะสิทธิดังกล่าวยึดจากหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก

กรณีแสกนใบหน้าไม่สำเร็จสามารถดำเนินการติดต่อได้ช่องทางต่อไปนี้

  • ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา พร้อมบัตรประชาชนตัวจริง
  • ตู้ ATM ธนาคารกรุงไทยที่สามารถยืนยันตนตัวตนได้ พร้อมบัตรประชาชนตัวจริง
  • ปัจจุบันช่องทางการยืนยันตัวตน G Wallet บนแอปฯ เป๋าตังมี 1 ช่องทาง คือ การยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า

ขั้นตอนการเติมเงินเข้า G Wallet มีขั้นตอน ดังนี้

  1. เข้าไปที่หน้าแอปฯ เป๋าตัง
  2. กดปุ่ม “เติมเงินเข้า G Wallet”

ทั้งนี้ ช่องทางการเติมเงินเข้า G Wallet สามารถทำได้ 3 ช่องทางด้วยกัน

  1. Mobile Banking ของธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทยธนชาต ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน และธนาคารยูโอบี โดยระบุ G Wallet ID 15 หลัก และจำนวนเงิน
  2. บัญชีธนาคารกรุงไทยที่ผูกอยู่บนแอปฯ เป๋าตัง โดยต้องมีบัญชีกรุงไทย และผูกบนแอปฯ เป๋าตัง
  3. QR PromptPay โดยสแกน QR ด้วย Mobile Banking ทุกธนาคาร
  4. ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทยธนชาต โดยเลือกเมนูเติมเงินพร้อมเพย์ ระบุ G Wallet ID 15 หลัก และจำนวนเงิน
  • กรอกข้อมูลเลขบัตรประชาชนและเบอร์มือถือที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
  • โดยเบอร์มือถือที่กรอกเป็นเบอร์ใหม่สำหรับการลงทะเบียนครั้งล่าสุด
  • กรณีไม่มีปุ่มกดลืมพิน แนะนำให้นำบัตรประชาชนและเบอร์ใหม่ติดต่อเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์แอปฯ เป๋าตังได้ที่สาขาธนาคารกรุงไทยที่สะดวก

หากต้องการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์

  1. ทำการถอนการติดตั้งแอปเป๋าตัง
  2. ทำการติดตั้งแอปเป๋าตังใหม่โดยใช้เบอร์โทรศัพท์ใหม่
  3. ระบบจะให้ท่านทำการยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน และสแกนหน้า ตามขั้นตอน
  4. หลังจากนั้นระบบจะให้ทำการใส่เบอร์โทรศัพท์เพื่อรับรหัส OTP (โดยเบอร์โทรศัพท์ที่ท่านใส่ไปนั้น ระบบจะใช้เบอร์ฯ ดังกล่าวเก็บเป็นข้อมูล)
ลืมรหัสแอปฯ เป๋าตัง แนะนำดำเนินการดังนี้
  1. กดลืมรหัส PIN
  2. อ่านและทำตามคำแนะนำ แล้วกดปุ่ม “รับทราบ”
  3. ยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้าจนสำเร็จ
  4. ตั้งรหัส PIN 6 หลักใหม่ และยืนยันรหัส PIN 6 หลัก
  5. ระบบจะแสดงผลการตั้งรหัส PIN สำเร็จ
  • แนะนำให้ตรวจสอบเวอร์ชัน และทำการอัปเดตระบบปฏิบัติการของมือถือ เช่น 
    • ระบบปฏิบัติการ Android Version 10.0 ขึ้นไป
    • ระบบ iOS Version 15.0 ขึ้นไป
  • หากมือถือไม่สามารถทำการอัปเดตได้เนื่องจากอุปกรณ์ไม่รองรับ อาจจะต้องติดต่อศูนย์บริการอุปกรณ์โทรศัพท์เพื่อขอคำแนะนำ
  • ทำการอัปเดตแอปฯ เป๋าตัง เป็นเวอร์ชันล่าสุด
  • ธนาคารปรับปรุงเงื่อนไขอายุในการผูกแล้ว

ให้นำบัตรประชาชนตัวจริงติดต่อ ธ.กรุงไทย สาขาที่สะดวกเพื่อยืนยันเบอร์มือถือที่เข้าใช้งาน

กรณีตรวจพบการใช้งาน Debugging Mode บนอุปกรณ์ของคุณ

  • เนื่องจากธนาคารมีการเพิ่มความปลอดภัย และปกป้องข้อมูลลูกค้า ธนาคารจึงเพิ่มการป้องกัน โดยตรวจสอบเช็คการเปิดใช้งาน “USB Debugging” (การแก้ไขจุดบกพร่อง USB) เบื้องต้นแนะนำตรวจสอบการตั้งค่าโทรศัพท์เพื่อปิดเมนู “USB Debugging” (การแก้ไขจุดบกพร่อง USB)
  • ยี่ห้อโทรศัพท์ Vivo 
    • ไปที่ Settings
    • แตะ More Settings
    • แตะ About Phone
    • แตะ Software Version 7 ครั้งจากนั้นไปที่ Developer Options
    • เปิดใช้ Developer Options
    • แตะ OK for Development Settings. Next ปิดใช้ USB Debugging
    • แตะ OK บนไดอะล็อก Pop Up เพื่อปิดการอนุญาต USB Debugging
  • เครื่อง Oppo
    • แนะนำไปที่ Settings
    • แตะ About Phone
    • แตะ Build Number 7 ครั้งเพื่อเปิดใช้งาน Developer Options. จากนั้นไปที่ Additional Settings 
    • Developer Options and ปิดใช้ USB Debugging
    • แตะ OK บนไดอะล็อก Pop Up เพื่อปิดการอนุญาต USB Debugging 
  • ไม่ต้องเปิดบัญชี
  • กรณียืนยันตัวตนไม่ผ่าน
    1. ยืนยันตัวตนด้วยตนเองผ่านทางตู้เอทีเอ็ม (ตู้สีเทา) โดยนำบัตรประชาชนไปที่ตู้เอทีเอ็ม
      • เลือกเมนู “ยืนยันตัวตน” (ไม่ต้องใช้บัตรเอทีเอ็ม)
      • ทำการยืนยัน “การเป็นเจ้าของบัตรประชาชน”
      • เลือกยินยอมให้ “เปิดเผยข้อมูลพิสูจน์ตัวตน”
      • เสียบบัตรประชาชน ที่ช่อง “Confirm ID” (รอระบบตรวจสอบข้อมูลยืนยันตัวตนของท่าน)
      • เมื่อระบบตรวจสอบเสร็จนำบัตรประชาชนออก และดำเนินการต่อบนแอปฯ 
    2. หรือ นำบัตรประชาชนติดต่อธนาคารกรุงไทยได้ทุกสาขา

4. แอปฯ ถุงเงิน

สมาร์ทโฟนที่มีระบบปฏิบัติการ Android Version 10.0 ขึ้นไป และระบบ iOS Version 15.0 ขึ้นไป

ร้านค้าถุงเงินที่เข้าร่วมโครงการได้รับเงิน ดังนี้

  1. รับสิทธิผ่าน QR ถุงเงินที่มือถือ: ระบบโอนเงินเข้าบัญชีร้านค้าที่ผูกกับแอปฯ ถุงเงิน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
    • ส่วนที่ 1 : เงินส่วนของประชาชน ที่ชำระผ่าน G Wallet ตั้งแต่เวลา 02:00 น. เป็นต้นไป
    • ส่วนที่ 2 : เงินสมทบจากภาครัฐ ตั้งแต่เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป
  2. รับสิทธิผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี: ระบบโอนเงินเข้าบัญชีร้านค้าที่ผูกกับแอปฯ ถุงเงิน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
    • ส่วนที่ 1 : เงินส่วนของประชาชน ที่ชำระผ่าน G Wallet ใน 3 วันถัดไปนับจากวันทำรายการ ตั้งแต่เวลา 02:00 น. เป็นต้นไป
    • ส่วนที่ 2 : เงินสมทบจากภาครัฐ ใน 3 วันถัดไปนับจากวันทำรายการ ตั้งแต่เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป

ร้านค้าถุงเงินคนละครึ่ง พลัส

  1. ร้านทั่วไป สามารถรับเงินสิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. 2568 ในช่วงเวลา 06.00 – 23.00 น. ของทุกวัน จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2568 (สิ้นสุดโครงการ)
  2. ร้านที่รับสิทธิผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดดีลิเวอรี่ เริ่มใช้จ่ายวันที่ 7 พ.ย. 2568 สามารถรับเงินสิทธิได้ในช่วงเวลา 06.00 – 21.00 น.

ขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการหลังได้รับแจ้งเตือนจากโครงการฯ

  1. อัพเดทแอปฯ ถุงเงิน เวอร์ชั่นล่าสุด (ตรวจสอบการอัพเดทบน App Store หรือ Play Store)
  2. กดปุ่ม คนละครึ่ง พลัส
  3. กดยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส
  4. ปุ่มคนละครึ่ง พลัส เป็นพื้นหลังสีน้ำเงิน
  5. เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส สำเร็จ

ไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก QR รับเงินของร้านค้ามีอายุการใช้งานจำกัด ร้านค้าต้องสร้างรายการรับเงินจากสิทธิคนละครึ่ง พลัส 1 ครั้งต่อ 1 รายการ

ขั้นตอนการรับเงินจากประชาชนที่ใช้สิทธิคนละครึ่ง พลัส

  1. เข้าใช้งานแอปฯ ถุงเงิน
  2. กดปุ่ม คนละครึ่ง พลัส
  3. ระบุจำนวนเงินที่ต้องการรับจากการขายสินค้า
  4. กดสร้าง QR เพื่อรับเงิน
  5. แสดง QR ที่สร้าง เพื่อให้ลูกค้าสแกนจากแอปฯ เป๋าตัง
  6. รอรับการแจ้งเตือนเงินเข้าบนแอปฯ ถุงเงิน
  7. รับเงินสำเร็จ โปรดตรวจสอบรายการเงินเข้าบนแอปฯ ถุงเงิน

สามารถตรวจสอบรายการรับเงินบนแอปถุงเงินได้ 2 วิธี ดังนี้

  • วิธีที่ 1 : เมนู “รายการวันนี้”
  • วิธีที่ 2 : เมนู “สรุปยอด” (ย้อนหลังรายวัน/รายเดือน)

5. Food delivery ประชาชน

รัฐไม่ร่วมจ่ายค่าจัดส่งอาหาร/เครื่องดื่ม ประชาชนจะต้องชำระค่าส่งในแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ นั้น ๆ ตามรูปแบบการชำระเงินที่ผูกไว้

ต้องชำระค่าอาหาร/เครื่องดื่ม ผ่าน G Wallet เท่านั้น

สามารถติดตามสถานะการจัดส่งอาหาร/เครื่องดื่ม ได้ที่แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่

ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่

การค้นหาร้านอาหาร/เครื่องดื่ม สามารถทำได้ผ่านแอปฯ เป๋าตัง หรือบนเว็บไซต์

ตรวจสถานะการจัดส่งได้จากแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ นั้นๆ

ต้องมีแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ที่เลือกในโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวกันกับที่ค้นหาผ่านแอปฯ เป๋าตัง

  1. ต้องชำระค่าจัดส่งผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่
  2. จากนั้นจ่ายค่าอาหาร/เครื่องดื่ม ผ่าน G Wallet ในแอปฯ เป๋าตัง

สิทธิในโครงการฯ จะใช้ได้เฉพาะค่าอาหาร/เครื่องดื่มเท่านั้น ไม่รวมค่าจัดส่ง

ต้องเข้าสั่งอาหาร/เครื่องดื่มโดยเริ่มจาก แอปฯ เป๋าตังเท่านั้น กรณีที่เริ่มเข้าสั่งอาหาร/เครื่องดื่มจากแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ จะไม่สามารถใช้สิทธิโครงการฯ ได้

เมื่อชำระเงินอาหารที่แอปฯ เป๋าตังสำเร็จ สามารถสั่งอาหาร/เครื่องดื่มเพิ่มเติมได้ทันที ไม่ต้องรอให้อาหารมาส่ง

  • ใช้จ่ายผ่านแอปฯ เป๋าตัง G Wallet ในโครงการคนละครึ่ง พลัส ได้ตั้งแต่ 29 ต.ค. 2568 – 31 ธ.ค. 2568 ระหว่างเวลา 06.00 – 23.00 น.
  • ส่วนกรณีใช้จ่ายซื้ออาหาร/เครื่องดื่มผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ที่เข้าร่วมโครงการ จะสามารถเริ่มใช้จ่ายได้วันที่ 7 พ.ย. 2568 ระหว่างเวลา 06.00 – 21.00 น.

ร้านค้ายกเลิก หรือไม่สามารถหา Rider ได้ หรือ Rider ยกเลิก

ผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ หลังจากที่ได้ Rider

ผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ หลังร้านค้ารับรายการอาหาร/เครื่องดื่ม

  • ไม่สามารถชำระได้ เนื่องจากรัฐไม่ร่วมจ่ายค่าจัดส่ง จึงต้องชำระค่าจัดส่งผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่
  • ไม่สามารถชำระผ่านบัตรเครดิตได้
  • ต้องจ่ายจากการเติมเงินใน G Wallet บนแอปฯ เป๋าตังเท่านั้น
  • เริ่มสั่งอาหาร/เครื่องดื่มได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. – 31 ธ.ค. 2568 เวลา 06.00 – 21.00 น. เท่านั้น (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเวลาเปิดปิดของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการด้วย)

ตรวจสอบประวัติการสั่งซื้อได้บน แอปฯ เป๋าตัง ผ่านเมนู ประวัติการสั่งซื้อ

ไม่สามารถทำได้ ต้องดำเนินจากกดชำระผ่าน G Wallet เท่านั้น

โครงการนี้ไม่สามารถผูกบัตรเครดิตได้

ไม่มีจำกัดจำนวนครั้งและราคา ในการสั่งอาหาร/เครื่องดื่มผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ทั้งนี้ จนกว่าจะใช้จ่ายครบวงเงินสิทธิตามโครงการฯ

จะได้รับแจ้งสถานะ พร้อมทำการคืนสิทธิและเงินที่ชำระค่าอาหาร/เครื่องดื่ม ที่ G Wallet บนแอปฯ เป๋าตัง

จะได้รับแจ้งสถานะ พร้อมทำการคืนสิทธิและเงินที่ชำระค่าอาหาร/เครื่องดื่ม ที่ G Wallet บนแอปฯ เป๋าตัง

ติดต่อโดยตรงที่แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ที่ท่านเลือกใช้บริการ

  • ต้องติดต่อที่แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่เท่านั้น
  • จะไม่สามารถกดยกเลิกที่แอปฯ เป๋าตังได้

ไม่สามารถยกเลิกอาหาร/เครื่องดื่มได้ หากทำการจ่ายเงินแล้ว และหากร้านค้าจะทำการยกเลิกต้องยกเลิกทั้งออร์เดอร์

  • ได้รับเงินคืนเข้าบัญชี G Wallet ภายใน 15 นาที เฉพาะค่าอาหาร/เครื่องดื่ม
  • ไม่รวมถึงค่าจัดส่ง

จะได้รับแจ้งสถานะ พร้อมทำการคืนสิทธิและเงินที่ชำระค่าอาหาร/เครื่องดื่ม ที่ G Wallet บนแอปฯเป๋าตัง

แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่จะคืนเงินให้ผ่านช่องทางการชำระเงินในแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่

6. Food delivery ร้านค้า

ร้านค้าจะได้รับเงินจากการขายเข้าบัญชีร้านค้าที่ผูกกับแอปฯ ถุงเงิน ใน 3 วันถัดไปนับจากวันที่ทำรายการ แบ่งเป็น 2 ส่วน

  • ส่วนที่ 1 เงินส่วนของประชาชน (G Wallet): 3 วันถัดไป นับจากวันที่ทำรายการ ตั้งแต่เวลา 02.00 น. เป็นต้นไป
  • ส่วนที่ 2 เงินสมทบจากภาครัฐ: 3 วันถัดไป นับจากวันที่ทำรายการ ตั้งแต่เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป

2 กรณีที่ไม่มี Rider หรือการยกเลิกอื่น ๆ จะสามารถทำอยา่ งไรได้บ้าง จะเป็นไปตามเงื่อนไขที่แต่ละแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ กำหนด

ไม่อนุญาตให้ร้านค้าทอนเงินเป็นเงินสด หรือรับคืนอาหาร/เครื่องดื่มเป็นเงินสดไม่ว่ากรณีใด ๆ

ร้านค้าจะได้รับเงินตรง ไม่ผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ โดยภาครัฐจะสนับสนุนค่าอาหาร/เครื่องดื่มเท่านั้น ไม่รวมค่า
จัดส่ง

ไม่มีจำกัดออร์เดอร์ต่อวัน

  • GrabFood คือ รหัสร้านค้าในแอปฯ GrabMerchant
  • LINE MAN คือ รหัสร้านค้าในแอปฯ Wongnai Merchant
  • ShopeeFood คือ รหัสร้านค้าในแอปฯ Shopee Partner
  • Robinhood คือ รหัสร้านค้าในแอปฯ

จะมีรายการแจ้งให้ทราบผ่านแอปฯ ถุงเงิน และแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ของร้านค้า

ร้านค้าเริ่มเลือกผูกบัญชีแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่เพียง 1 ราย บนแอปฯ ถุงเงิน ได้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย. 2568

ร้านค้าถุงเงินที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ คือร้านค้าที่อยู่ในโครงการคนละครึ่ง พลัส ในหมวดร้านอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น

ร้านค้าต้องกดรับรายการที่ลูกค้าสั่งในแอปฯ ถุงเงิน ภายใน 10 นาที

สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการที่แอปฯ ถุงเงิน

ร้านถุงเงินสามารถปฏิเสธรายการอาหารได้ โดยมีปุ่มปฏิเสธที่แอปฯ ถุงเงิน ถ้าร้านกดปฏิเสธ เงินที่ลูกค้าจ่ายจะคืนทั้งส่วนประชาชน และสิทธิให้ใน G Wallet

สามารถทำตามเงื่อนไขของแต่ละแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่

เมื่อเลือกผูกแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ใดแล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนแพลตฟอร์มใหม่ได้

ร้านค้าที่สามารถเข้าร่วมได้จะอยู่ในหมวดร้านอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น

ต้องเลือกเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ เพียงรายเดียวเท่านั้น

ต้องสมัครเป็นร้านค้าในโครงการคนละครึ่งก่อน ถึงจะสามารถเข้าร่วมโครงการกับฟู้ดเดลิเวอรี่ ได้

เริ่มสั่งอาหารได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. – 31 ธ.ค. 2568 สั่งอาหารได้ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น.

ร้านค้าสามารถเลือกแพลตฟอร์มที่เข้าร่วมโครงการได้ 1 แพลตฟอร์ม เท่านั้น

เป็นไปตามกระบวนการของแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ในการหา Rider ใหม่

ดำเนินการตามนโยบายและวิธีการของแต่ละแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่

ไม่มีหน้าให้แก้ไข ต้องรอผลการตรวจสอบข้อมูล และเข้าไปทำรายการใหม่อีกครั้ง

ร้านค้าสามารถกดยกเลิกได้ผ่านแอปฯ ถุงเงินภายใน 10 นาที

  • เมื่อเข้าร่วมโครงการกับแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่แล้ว จะไม่สามารถยกเลิกได้
  • แต่จะมีปุ่มให้เลือกเปิด/ปิด การรับอาหาร/เครื่องดื่มผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แอปฯ ที่ในเมนูตั้งค่าของแอปฯ ถุงเงิน

ร้านค้าแจ้งตามนโยบายและวิธีการที่แต่ละแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่กำหนดไว้

ไม่สามารถทำได้ หากร้านค้าจะทำการยกเลิกต้องยกเลิกทั้งออร์เดอร์

7. อื่น ๆ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ที่มา

  • กระทรวงการคลัง
  • Callcenter 0 2111 1122
  • Krungthai Care