กรมควบคุมโรค แจ้งเตือนสายแคมปิ้ง เดินป่า ช่วงปลายฝนต้นหนาว ระวังตัวไรอ่อน เสี่ยงป่วยโรคไข้รากสาดใหญ่
กรมควบคุมโรค แจ้งเตือนประชาชนที่มักท่องเที่ยวตามป่าเขา กางเต็นท์นอนในป่า หรือ ทำงานในแถบทุ่งหญ้า ชายป่า ขอให้ระวังถูกตัวไรอ่อนกัด ทำให้เป็นโรคไข้รากสาดใหญ่ หรือโรคสครับไทฟัส โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มีตัวไรอ่อนเป็นพาหะ จะกัดคนหรือสัตว์เพื่อกินน้ำเหลืองเป็นอาหาร โดยจะไต่ไปตามยอดหญ้าแล้วกระโดดเกาะตามเสื้อผ้าของคนและกัดผิวหนังที่สัมผัสกับเสื้อผ้า หากถูกตัวไรอ่อนที่มีเชื้อกัดประมาณ 10-12 วัน จะมีอาการ ปวดศีรษะ มีไข้ หนาวสั่น ไอ ตาแดง คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย ผู้ป่วยบางรายอาจหายได้เอง แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ และอาจเสียชีวิตได้ หากไปเที่ยวป่าเขากลับมาแล้วมีอาการไข้หรืออาการข้างต้น ภายใน 2 สัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเข้าป่าให้แพทย์ทราบเพื่อรักษาโรคโดยเร็วช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้
เตือนสายแคมปิ้ง เดินป่า ช่วงปลายฝนต้นหนาว ระวังตัวไรอ่อน เสี่ยงป่วยโรคไข้รากสาดใหญ่ ช่วงปลายฝนต้นหนาว มักมีนักท่องเที่ยวนิยมเดินป่า กางเต้นท์นอนตามป่าเขา ทำให้มีความเสี่ยงถูกตัวไรอ่อนที่อาศัยอยู่ในป่ากัด เสี่ยงติดเชื้อและป่วยเป็นโรคสครับไทฟัส หรือโรคไข้รากสาดใหญ่ได้ สคร.9 นครราชสีมา เตือนนักเดินป่า ผู้ปลูกพืชสวนพืชไร่ ผู้ทำงานในแถบทุ่งหญ้า ชายป่า ขอให้สวมใส่เสื้อที่ปิดคอ เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว และทายากันแมลงกัด
นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา เตือนประชาชนที่มักท่องเที่ยวตามป่าเขา กางเต็นท์นอนในป่า หรือ ทำงานในแถบทุ่งหญ้า ชายป่า ขอให้ระวังถูกตัวไรอ่อนกัด ทำให้เป็นโรคไข้รากสาดใหญ่ หรือโรคสครับไทฟัส (Scrub typhus) โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีตัวไรอ่อนเป็นพาหะ อาศัยอยู่ตามกอไม้ กอหญ้าใกล้กับพื้นดิน จะกัดคนหรือสัตว์เพื่อกินน้ำเหลืองเป็นอาหาร โดยจะไต่ไปตามยอดหญ้าแล้วกระโดดเกาะตามเสื้อผ้าของคนและกัดผิวหนังที่สัมผัสกับเสื้อผ้า ตัวไรอ่อนมีขนาดเล็กมาก ราว 1 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่วนใหญ่บริเวณที่ถูกกัด คือ รักแร้ ขาหนีบ รอบเอว หากถูกตัวไรอ่อนที่มีเชื้อกัดประมาณ 10-12 วัน จะมีอาการ ปวดศีรษะ มีไข้ หนาวสั่น ไอ ตาแดง คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย และบริเวณที่ถูกกัดอาจจะมีผื่นแดงขนาดเล็กค่อยๆ นูนหรือใหญ่ขึ้น และอาจจะพบแผลคล้ายบุหรี่จี้ แต่จะไม่ปวดและไม่คัน ผู้ป่วยบางรายอาจหายได้เอง แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ และอาจทำให้เสียชีวิตได้
สถานการณ์โรคไข้รากสาดใหญ่ หรือโรคสครับไทฟัส ในเขตสุขภาพที่ 9 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 16 กันยายน 2567 พบผู้ป่วย 463 ราย มีผู้เสียชีวิต 2 ราย แยกเป็นรายจังหวัด ดังนี้
1) จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วย 213 ราย เสียชีวิต 1 ราย
2) จังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ป่วย 100 ราย
3) จังหวัดสุรินทร์ มีผู้ป่วย 88 ราย
4) จังหวัดชัยภูมิ มีผู้ป่วย 62 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 65 ปี ขึ้นไป รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 55-64 ปี และกลุ่มอายุ 45-54 ปี อาชีพที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ คนงานรับจ้างทั่วไป ผู้ปลูกพืชไร่ และเกษตรกร
นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน กล่าวต่อว่า นักท่องเที่ยว นักเดินป่า ผู้ปลูกพืชสวนพืชไร่ ผู้ทำงานในแถบทุ่งหญ้า ชายป่าหรือทำงานเกษตรกรรม ควรปฏิบัติ ดังนี
- ควรสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด เช่น เสื้อที่ปิดคอ เสื้อแขนยาว และกางเกงขายาว
- ทายากันยุง ส่วนที่อยู่นอกร่มผ้าให้ทาโลชั่นกันยุงไล่แมลง หรือสมุนไพรทากันยุง
- หลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณที่มีตัวไรอ่อนชุกชุม เช่น ทุ่งหญ้า ชายป่า หรือบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง
- หลังออกจากป่า หรือทำงานเสร็จให้อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย สระผม และนำเสื้อผ้าที่สวมใส่มาซักให้สะอาดด้วยผงซักฟอกเข้มข้น เพราะอาจมีตัวไรอ่อนติดมากับร่างกายหรือเสื้อผ้าได้
หากไปเที่ยวป่าเขากลับมาแล้วมีอาการไข้หรืออาการข้างต้น ภายใน 2 สัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเข้าป่าให้แพทย์ทราบเพื่อรักษาโรคโดยเร็วช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
