กรมการค้าต่างประเทศ เดินหน้าป้องกันการสวมสิทธิและลงโทษผู้ส่งออกที่ลักลอบนำเข้าผลไม้จากประเทศเพื่อนบ้าน มาแอบอ้างเป็นผลไม้ไทยแล้วส่งออกไปจีน เข้มมาตรการเฝ้าระวังสินค้าผลไม้ของกรมฯ หวั่นกระทบต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของผลไม้ไทย แนะผู้ส่งออกนำเอกสารจากกรมวิชาการเกษตรมาแนบประกอบการยื่นขอ Form E เพื่อแสดงความเชื่อมโยงข้อมูลการนำเข้าวัตถุดิบที่สามารถตรวจสอบและเชื่อถือได้ตามที่กรมฯ กำหนด
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า “ในช่วงเดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูผลไม้ของไทย กรมฯ ได้รับแจ้งข้อมูลและได้รับการร้องเรียนจากกลุ่มเกษตรกรว่ามีกลุ่มผู้ไม่หวังดีลักลอบนำเข้าผลไม้หลายชนิดโดยเฉพาะทุเรียนจากประเทศเพื่อนบ้านแล้วส่งออกไปจีน โดยใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form E เพื่อขอรับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าโดยใช้ไทยเป็นฐานในการปลอมแปลงถิ่นกำเนิด ส่งผลต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของผลไม้ไทยเป็นอย่างมาก”
โดยตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2564 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน กรมฯ ได้จับตาเฝ้าระวังการสวมสิทธิผลไม้ไทยที่ส่งออกไปจีนอย่างต่อเนื่อง โดยได้กำหนดให้ผลไม้จำนวน 12 รายการ ได้แก่
- มังคุดสด
- ทุเรียนสดและแช่แข็ง
- ส้มโอสดหรือแห้ง
- ลำไยสด
- มะพร้าว
- ขนุน
- น้อยหน่า
- สับปะรด
- มะม่วง
- กล้วย
- ชมพู่
- เงาะ
อยู่ในบัญชีรายการสินค้าเฝ้าระวัง (Watch-List) ของกรมฯ ซึ่งจะมีขั้นตอนในการพิจารณาออกหนังสือรับรองฯ ที่เข้มงวดและรัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยให้ผู้ยื่นขอ Form E จะต้องระบุข้อมูลเพิ่มเติม ได้แก่
- ข้อความยืนยันแหล่งที่มาของสินค้า
- วันที่ส่งออก
- ด่านที่ส่งออกของไทย
- ประเภทยานพาหนะ
- ชื่อยานพาหนะ
เอกสารเพิ่มเติม ได้แก่
- หนังสือรับรองว่าเป็นสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดในไทยและผลิตถูกต้องตามกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (หนังสือรับรองกรมฯ)
- เอกสารหลักฐานอื่นที่แสดงการได้มาซึ่งสินค้าที่สามารถตรวจสอบและเชื่อถือได้ อาทิ ใบเสร็จซื้อขาย เป็นต้น
นอกจากนี้ ในการส่งออกผลไม้ของไทยไปจีน ผู้ส่งออกจะต้องปฏิบัติตามประกาศกรมวิชาการเกษตร (กวก.) เรื่อง การขอใบรับรองสุขอนามัยพืชสำหรับผลไม้ส่งออกจากราชอาณาจักรไทยไปสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2564 ข้อ 9 (1) – (3) ที่กำหนดให้ผลไม้ที่ส่งออกต้องมาจากสวนผลไม้หรือโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนทั้งจาก กวก. และสำนักงานศุลกากรของจีน (GACC) แล้วเท่านั้น โดยเจ้าของสวนผลไม้จะได้รับใบรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืชอาหาร (GAP) ส่วนเจ้าของโรงคัดบรรจุ (ล้ง) จะได้รับหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนโรงงานผลิตสินค้าพืช (DOA) รวมทั้งเอกสารอื่นๆ เช่น รายงานการปฏิบัติงานตรวจผลไม้ส่งออก ณ โรงคัดบรรจุ ป้ายหรือฉลากแสดงข้อมูลที่จำเป็นบนบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น โดย กวก. ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลการขึ้นทะเบียนดังกล่าวกับสำนักงานศุลกากรจีนเพื่อยืนยันความถูกต้องของแหล่งที่มาของผลไม้ ดังนั้น “หากผู้ส่งออกรับซื้อผลไม้จากสวนหรือโรงคัดบรรจุ (ล้ง) สามารถนำเอกสารดังกล่าวข้างต้นมาแนบประกอบการยื่นขอ Form E เพื่อแสดงความเชื่อมโยงของข้อมูลการได้มาซึ่งวัตถุดิบ/สินค้า ที่สามารถตรวจสอบและเชื่อถือได้ตามที่กรมฯ กำหนด” นายรณรงค์ กล่าว
จากสถิติการออกหนังสือรับรองฯ Form E สินค้าผลไม้พิกัดศุลกากรที่ 0801 – 0810 ในปี 2566 ช่วง 2 เดือนแรก (มกราคม – กุมภาพันธ์) มีจำนวนรวม 13,034 ฉบับ คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 420 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยผลไม้ที่มีการส่งออกสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) ทุเรียนสด (2) มะพร้าว และ (3) ลำไยสด
นายรณรงค์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “แนวปฏิบัติในการออกหนังสือรับรองฯ ดังกล่าวข้างต้น เป็นการดำเนินงานเชิงรุกตามมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2566 ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการป้องกันการสวมสิทธิและการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าผลไม้ เพื่อให้ประเทศไทยได้รับความเชื่อถือและความมั่นใจจากประเทศคู่ค้าว่าผลไม้ที่ส่งออกจากไทยเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดไทยจริง อีกทั้งยังช่วยรักษาความเชื่อมั่นในมาตรฐาน ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของผลไม้ไทยในตลาดโลกอีกด้วย ซึ่งหากกรมฯ พบเหตุอันน่าสงสัยว่าอาจมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการสวมสิทธิหนังสือรับรองฯ สำหรับสินค้าผลไม้เฝ้าระวัง อาจมีการสุ่มตรวจการส่งออกผลไม้ รวมทั้งตรวจสอบเอกสารที่แนบประกอบการพิจารณาขอ Form E หากพบว่ามีการปลอมแปลงหรือแสดงเอกสารอันเป็นเท็จกรมฯ จะดำเนินคดีตามกฎหมายและเพิกถอนหนังสือรับรองฯ ฉบับดังกล่าว รวมถึงขึ้นบัญชีเป็นผู้ส่งออกที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ กรมฯ อาจประสานศุลกากรในการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการส่งออก-นำเข้า สินค้าผลไม้เฝ้าระวังดังกล่าว ณ จังหวัดที่มีด่านพรมแดนและจุดผ่อนปรนการค้าที่ติดกับประเทศจีนอีกทางหนึ่งด้วย”
ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักบริการการค้าต่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2547 4830 , 0 2547 4838 หรือ สายด่วน 1385 และ www.dft.go.th
ที่มา : https://www.dft.go.th/th-th/NewsList/News-DFT/Description-News-DFT/ArticleId/26281/26281
