กรบควบคุมโรค เตือนเกษตรกรลุยน้ำ ย่ำดินโคลน ระวังติดเชื้อ “เมลิออยโดสิส” หรือ “โรคไข้ดิน”

กรบควบคุมโรค เตือนเกษตรกรลุยน้ำ ย่ำดินโคลน ระวังติดเชื้อ “เมลิออยโดสิส” หรือ “โรคไข้ดิน”

            กรบควบคุมโรค เตือนเกษตรกรลุยน้ำ ย่ำดินโคลน ระวังติดเชื้อ “เมลิออยโดสิส” หรือ “โรคไข้ดิน” เริ่มเข้าใกล้หน้าฝนแล้ว เวลาวนมาถึงช่วงการเฝ้าระวัง “เมลิออยโดสิส” หรือ “โรคไข้ดิน” สถิติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 1 พฤศจิกายน 2564 พบผู้ป่วย 1,955 ราย เสียชีวิต 3 ราย จะเห็นว่าความรุนแรงอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต เป็นปัญหาสุขภาพที่ต้องระวัง ซึ่งการติดเชื้อจากช่องทางต่างๆ จะส่งผลให้เกิดอาการภายในระบบอวัยวะของร่างกาย ตามตำแหน่งที่สัมผัสเชื้อโรค โรคเมลิออยโดสิสสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากมีการวินิจฉัยถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก



         เริ่มเข้าใกล้หน้าฝนแล้ว เวลาวนมาถึงช่วงการเฝ้าระวัง “เมลิออยโดสิส” หรือ “โรคไข้ดิน” สถิติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 1 พฤศจิกายน 2564 พบผู้ป่วย 1,955 ราย เสียชีวิต 3 ราย จะเห็นว่าความรุนแรงอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต เป็นปัญหาสุขภาพที่ต้องระวัง

สาเหตุของโรค

  • โรคเมลิออยโดสิส เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Burkholderia pseudomal lei (B. pseudomallei) มีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อม สามารถเจริญได้ในภาวะเป็นกรด (pH 4.5-8) และอุณหภูมิระหว่าง 15-42 องศาเซลเซียส พบได้ในดินและแหล่งน้ำตามธรรมชาติ และสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง คือ
    • ทางผิวหนัง : ถ้าผิวหนังมีการสัมผัสดินและน้ำ โดยไม่จำเป็นต้องมีการบาดเจ็บหรือบาดแผลใหม่ การติดเชื้อสามารถเกิด ได้ในกรณีที่มีการสัมผัสดินและน้ำเป็นเวลานานๆ
    • ผ่านทางปาก : โดยการรับประทานอาหารที่มีดินปนเปื้อน หรือการดื่มน้ำที่ไม่ได้ผ่านการต้มสุก ซึ่งอาจเกิดจากการปนเปื้อนในระบบท่อได้ การกรองด้วยเครื่องกรองที่ไม่ได้รับการบำรุงรักษา
    • ผ่านทางจมูก : โดยการหายใจฝุ่นดินเข้าไปในปอดหรืออยู่ภายใต้ลมฝน

ซึ่งการติดเชื้อจากช่องทางต่างๆ จะส่งผลให้เกิดอาการภายในระบบอวัยวะของร่างกาย ตามตำแหน่งที่สัมผัสเชื้อโรค ดังนี้

1) การติดเชื้อที่ผิวหนัง : ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อมีอาการเจ็บ บวม มีแผลเปื่อยสีออกขาวเทา และอาจเกิดเป็นหนอง รวมถึงส่งผลให้มีอาการไข้และเจ็บกล้ามเนื้อ แต่หากติดเชื้อที่ต่อมน้ำลาย ต่อมน้ำลายจะอักเสบบวม โต เจ็บ อาจเกิดหนอง หรือหากเชื้อเข้าตาจะส่งผลให้เยื่อตาอักเสบ
2) การติดเชื้อที่ปอด : ทำให้เกิดการอักเสบ และมีฝีหนองในปอด อาการที่ปรากฏให้เห็นมีได้ตั้งแต่หลอดลมอักเสบชนิดไม่รุนแรงไปจนถึงอาการของโรคปอดบวมชนิดรุนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีไข้ ปวดศีรษะ ไอ ไม่อยากอาหาร หายใจ หอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อโดยทั่วไป รวมถึงอาจไอเป็นเลือด
3) การติดเชื้อในกระแสเลือด : ทำให้เกิดอาการช็อก อาจส่งผลให้มีอาการปวดศีรษะ มีไข้ หายใจลำบาก รู้สึกไม่สบายท้อง ปวดข้อต่อ และมีภาวะสูญเสียการรับรู้ ปกติการติดเชื้อในลักษณะนี้จะแสดงอาการอย่างรวดเร็ว และอาจพบฝีทั่วร่างกาย โดยเฉพาะในตับ ม้าม หรือต่อมลูกหมาก เมื่อเชื้อกระจายทั่วร่างกาย

แนวทางป้องกัน

  •  สวมถุงมือยางขณะทำสวน หรือทำงานกับดิน
  •  สวมรองเท้าบูทกันน้ำ เมื่อเดินในดินเปียก น้ำขัง หรือโคลน
  •  หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ ย่ำดินโคลน โดยตรง อาจปนเปื้อนเชื้อโรคเมลิออยโดสิสเข้าสู่บาดแผลได้
  •  ล้างมือ อาบน้ำ ฟอกสบู่ทันที หลังสัมผัสดินและน้ำ
  •  หากมีแผลเปิดให้ติดพลาสเตอร์ชนิดกันน้ำได้
  •  สวมหน้ากากที่ปิดจมูกและปากขณะตัดหญ้า เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช หรือใช้น้ำแรงดันสูงฉีดดิน
  •  ลดการดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้ภูมิคุ้มกันตก เสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายขึ้นกว่าคนที่แข็งแรง

         กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ อายุ 55-64 ปี รองลงมาอายุ 45-54 ปี และอายุมากกว่า 65 ปี ส่วนจังหวัดที่พบอัตราป่วย โรคเมลิออยด์ สูงสุด คือ มุกดาหาร อํานาจเจริญ อุบลราชธานี ยโสธร และศรีสะเกษ ตามลำดับ โรคเมลิออยโดสิสสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากมีการวินิจฉัยถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก



ที่มา : https://citly.me/YcsrZ