กรมสรรพสามิต เตรียมของบกลางจากรัฐบาลจำนวน 7 พันล้านบาท อุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าอีก 35,000 คัน

กรมสรรพสามิต เตรียมของบกลางจากรัฐบาลจำนวน 7 พันล้านบาท อุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าอีก 35,000 คัน

          กรมสรรพสามิต เตรียมของบกลางจากรัฐบาลจำนวน7 พันล้านบาท อุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าอีก 35,000 คัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างของบกลางจากสำนักงบประมาณ ประมาณ 7 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการจ่ายเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) อีก 35,000 คัน หลังจากที่ได้มีการจ่ายเงินอุดหนุนสำหรับรถอีวีที่เข้าเงื่อนไขในรอบแลกไปแล้ว ราว 4 หมื่นคัน คิดเป็นวงเงิน 7 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการจ่ายเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าอีก 35,000 คัน ตามมาตรการอีวี 3.0 ของรัฐบาล


 


            นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างของบกลาง จากสำนักงบประมาณ อีกประมาณ 7 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการจ่ายเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) อีก 35,000 คัน ตามมาตรการอีวี 3.0 ของรัฐบาล หลังจากที่ได้มีการจ่ายเงินอุดหนุนสำหรับรถอีวีที่เข้าเงื่อนไขในรอบแลกไปแล้ว ราว 4 หมื่นคัน คิดเป็นวงเงิน 7 พันล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจุบันมีค่ายรถยนต์ที่เข้ามาเซ็นสัญญาเพื่อรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการสนับสนุนอีวี 3.0 ของรัฐบาล (ปี 2565-2566) แล้ว 23 บริษัท ซึ่งจะได้รับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% และได้รับเงินอุดหนุนคันละ 7 หมื่น – 1.5 แสนบาท ตามขนาดของแบตเตอรี่ และมีเงื่อนไขว่าค่ายรถยนต์ดังกล่าว จะต้องมีการตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยเพื่อชดเชยการนำรถอีวีเข้ามาขาย 1 เท่าด้วย โดยจะต้องเริ่มผลิตรถอีวีในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2567-2568 ซึ่งขณะนี้พบว่ามีค่ายรถยต์ที่เตรียมเข้ามาลงทุนในไทยแล้ว คิดเป็นเม็ดเงินราว 4 หมื่นล้านบาทตรงนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมอีวีในไทยให้กลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก


            นอกจากนี้ นายเอกนิติ ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลยังคงเดินหน้าสนับสนุนอุตสาหกรรมอีวีต่อเนื่อง ผ่านมาตรการอีวี 3.5 ซึ่งปัจจุบันมีค่ายรถยนต์เข้ามาเซ็นสัญญากับกรมสรรพสามิต เพื่อรับสิทธิประโยชน์แล้ว 8 ราย โดยในส่วนนี้จะได้รับเงินอุดหนุนราคารถอีวี ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 กิโลวัตต์ จะได้รับเงินอุดหนุน 1 แสนบาทต่อคันในปีแรก และ 7.5 หมื่นบาทต่อคันในปีที่ 2 และ 5 หมื่นบาทต่อคันในปีที่ 3-4 ส่วนรถอีวี ที่มีขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 กิโลวัตต์ จะได้รับเงินอุดหนุน 5 หมื่นบาทต่อคันในปีที่แรกและ 3.5 หมื่นบาทต่อคันในปีที่ 2 และปีที่ 3 ได้รับเงินอุดหนุน 2.5 หมื่นบาทต่อคัน

 



ที่มา : t.ly/E7479