สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการประชุมปรึกษาคดี จํานวน 3 เรื่อง ซึ่งเป็นคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ

สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการประชุมปรึกษาคดี จํานวน 3 เรื่อง ซึ่งเป็นคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ

           สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการประชุมปรึกษาคดี จํานวน 3 เรื่อง ซึ่งเป็นคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ

 

 

วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ ดังนี้

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 27 หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 23/2567)

           ศาลจังหวัดร้อยเอ็ดส่งคําโต้แย้งของผู้ร้อง (นายประสาน จอมคําสิงห์) ในคดีหมายเลขดําที่ ผบ ข13/2566 คดีหมายเลขแดงที่ ผบ ข1/2567 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 ในส่วนที่เกี่ยวกับการกําหนดระยะเวลาการยื่นคําร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ และการให้สิทธิโจทก์หรือเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาที่อาจยื่นคําร้องขอให้ศาลสั่งให้บุคคลภายนอก วางเงินหรือหาประกันต่อศาลในกรณีที่คําร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงการบังคับคดีขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 27 หรือไม่

ผลการพิจารณา

           ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของ ศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กําหนดนัดแถลงด้วยวาจา ประชุมปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.30 นาฬิกา

พระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทําความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ ความรุนแรง พ.ศ. 2565 มาตรา 3 มาตรา 5 มาตรา 22 ถึงมาตรา 27 มาตรา 28 ถึงมาตรา 36 และมาตรา 37 ถึงมาตรา 41 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง มาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาตรา 32 มาตรา 38 และมาตรา 40 วรรคหนึ่งและวรรคสอง หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 7/2567)

           ศาลจังหวัดนราธิวาสส่งความเห็น ในคดีหมายเลขดําที่ มฝ8/2566 คดีหมายเลขแดง ที่ มฝ1/2567 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า พระราชบัญญัติ มาตรการป้องกันการกระทําความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 มาตรา 3
มาตรา 5 มาตรา 22 ถึงมาตรา 27 มาตรา 28 ถึงมาตรา 36 และมาตรา 37 ถึงมาตรา 41 ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่งและวรรคสอง มาตรา 29 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาตรา 32 มาตรา 38 และมาตรา 40 วรรคหนึ่งและวรรคสอง หรือไม่


ผลการพิจารณา

ประเด็นที่หนึ่ง

           ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติมาตรการป้องกัน การกระทําความผิดซ้ําในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 มาตรา 22 ถึงมาตรา 27 ไม่ขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่งและวรรคสอง มาตรา 29 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาตรา 32 มาตรา 38 และมาตรา 40 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

           ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จํานวน 6 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายนภดล เทพพิทักษ์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จํานวน 3 คน คือ นายจิรนิติ หะวานนท์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ

ประเด็นที่สอง

           ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติมาตรการป้องกัน การกระทําความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 มาตรา 28 ถึงมาตรา 36 และมาตรา 37 ถึงมาตรา 41 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง มาตรา 29 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาตรา 32 มาตรา 38 และมาตรา 40 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

           ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จํานวน 5 คน คือ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายนภดล เทพพิทักษ์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์

           ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จํานวน 4 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายจิรนิติ หะวานนท์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ

นายวัฒนา อัศวเหม (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 56/2567)

           นายวัฒนา อัศวเหม ผู้ร้อง (โดยนายยุทธชัย เข็มเฉลิม ผู้รับมอบฉันทะ) กล่าวอ้างว่า การกระทําขององค์คณะผู้พิพากษาศาลแขวงดุสิตในการพิจารณาและพิพากษาคดีอาญา คดีหมายเลขดําที่ 254/2547 คดีหมายเลขแดงที่ 3501/2552 และการกระทําขององค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาในการพิจารณา และพิพากษาคดีอาญา คําพิพากษาที่ 8064/2560 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 28 วรรคสาม และมาตรา 188 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) และมาตรา 185 วรรคหนึ่ง หรือไม่

ผลการพิจารณา

           ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสาร ประกอบคําร้อง ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า การกระทําขององค์คณะผู้พิพากษาศาลแขวงดุสิตและองค์คณะผู้พิพากษา ศาลฎีกาในการพิจารณาและพิพากษาคดีอาญาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 28 วรรคสาม และมาตรา 188 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) และมาตรา 185 วรรคหนึ่ง เมื่อ เมื่อข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบคําร้องปรากฏว่า

           ผู้ร้องยื่นคําร้องเกิน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดินหรือวันที่พ้นกําหนดเวลาที่ ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ยื่นคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวต่อ ศาลรัฐธรรมนูญได้

           ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์สั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

           หมายเหตุ : บทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาในคดีเรื่องพิจารณาที่ 7/2567 เรื่อง พระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทําความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 มาตรา 3 มาตรา 5 มาตรา 22 ถึงมาตรา 27 มาตรา 28 ถึงมาตรา 36 และมาตรา 37 ถึงมาตรา 41 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคหนึ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่งและวรรคสอง มาตรา 29 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาตรา 32 มาตรา 38 และมาตรา 40 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง หรือไม่

พระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทําความผิดซ้ําในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565

  • มาตรา 22 ถึงมาตรา 27 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับมาตรการเฝ้าระวังนักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษ
  • มาตรา 28 ถึงมาตรา 36 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับมาตรการคุมขังภายหลังพ้นโทษ
  • มาตรา 37 ถึงมาตรา 41 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการคุมขังฉุกเฉิน

ความรู้ทางกฎหมายเพื่อประโยชน์สังคม : บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
มาตรา 34 แต่หากเป็นกรณีการแสดงความเห็นในลักษณะของการวิจารณ์คําสั่งหรือคําวินิจฉัยคดีที่มิได้ กระทําโดยสุจริต โดยใช้ถ้อยคําที่มีความหมายหยาบคาย เสียดสี หรืออาฆาตมาดร้าย เป็นความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 34 และมาตรา 39 และอาจเป็นความผิดฐานดูหมิ่นศาลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198

 


ที่มา : https://shorturl.asia/5VqEy