สปสช. เปิดห้องพยาบาลอิเล็กทรอนิกส์ ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ดูแลนักเรียนสิทธิบัตรทอง
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จัด “โครงการบริการแพทย์ทางไกลในห้องพยาบาลอิเล็กทรอนิกส์ในโรงเรียน” ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เพื่อดูแลนักเรียนของโรงเรียนทั้งหมดประมาณ 4,000 คน ทำให้นักเรียนได้พบแพทย์โดยตรง คาดว่าสิ้นปี 2567 จะมีโรงเรียนเข้าโครงการเพิ่มกว่า 100 แห่ง

ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สปสช. ลงพื้นที่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อเยี่ยมชมการดำเนินการ “โครงการบริการแพทย์ทางไกลในห้องพยาบาลอิเล็กทรอนิกส์ในโรงเรียน” ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โดยมี น.ส.สายพิณ พุทธิสาร รองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารทั่วไป โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ และ นายนีล นิลวิเชียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คลิกนิกเฮลท์ จำกัด (Clicknic) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูลการดำเนินการ
น.ส.สายพิณ กล่าวว่า โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ให้ความสำคัญกับสุขภาพของเด็กนักเรียน และได้มีการร่วมหารือกับ สปสช. มาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว กระทั่งในเดือน เม.ย. 2567 ทางโรงเรียนฯ จึงได้เปิดให้บริการห้องพยาบาลอิเล็กทรอนิกส์ขึ้น เพื่อดูแลนักเรียนของโรงเรียนทั้งหมดประมาณ 4,000 คน โดยในโครงการฯ ได้มีการจัดเตรียมบุคลากร อุปกรณ์ ฯลฯ เข้ามาสนับสนุนบริการเดิมของห้องพยาบาล ทำให้นักเรียนได้พบแพทย์โดยตรง รวมถึงได้รับยาเพิ่มเติมจากยาพื้นฐานที่โรงเรียนใช้ในปัจจุบัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการพยาบาลในการดูแลนักเรียนได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น
“เมื่อนักเรียนได้รับบริการที่ดีและรวดเร็ว เขาก็มีความมั่นใจห้องพยาบาลของ รร. มากขึ้น อุปกรณ์ที่โครงการได้จัดไว้ให้ ก็จะทำให้นักเรียนได้รับบริการที่ดีอย่างมาก ขณะที่ผู้ปกครองก็มีความมั่นใจขึ้น แม้ในตอนแรกอาจจะไม่เข้าใจระบบ แต่โรงเรียนก็ได้ทำประชาสัมพันธ์ สื่อสาร ทำให้ผู้ปกครองมั่นใจในโครงการฯ นี้มากขึ้น” รองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารทั่วไปฯ กล่าว
ทพ.อรรถพร กล่าวว่า สิ่งสำคัญของนักเรียนคือการมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่การเจ็บป่วยระหว่างวันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ โดย สปสช. ก็มีระบบการแพทยางไกล (Telemedicine) ที่เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงมีแนวคิดที่จะนำระบบดังกล่าวเข้ามาอยู่ในโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนและบุคลากรภายในโรงเรียนที่ใช้สิทธิบัตรทอง สามารถพบแพทย์ผ่านเทคโนโลยีได้ โดยเป็นบริการที่ครอบคลุมการรักษาอาการเจ็บป่วยทั่วไป 42 กลุ่มอาการ เช่น ปวดหัว เป็นไข้ ท้องเสีย ปวดกล้ามเนื้อ ขณะเดียวกันก่อนการรักษาก็จะมีระบบการคัดกรองโรคก่อนว่าฉุกเฉินหรือไม่ หากแพทย์ประเมินแล้วว่าฉุกเฉินก็จะมีการประสานส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดต่อไป
ทั้งนี้ สปสช. ได้มีการดำเนินการโครงการดังกล่าวมาแล้วเกือบ 1 ปี ซึ่งได้มีโรงเรียนต่างๆ เข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนสมัครมาแล้วประมาณ 70 แห่ง คาดว่าในปลายปี 2567 นี้ จะมีจำนวนโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นกว่า 100 แห่ง
“เด็กสามารถเข้าถึงการรักษาได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระครูที่จะต้องมาอยู่เวรที่ห้องพยาบาล ทำให้สามารถนำเวลานั้นกลับใช้ในการเรียนการสอนได้อย่างเต็มที่” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว
ด้าน นายนีล กล่าวว่า คลิกนิกให้บริการ Telemedicine ร่วมกับ สปสช. มาตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด 19 โดยหลังจากนั้น สปสช. ก็ได้มีการออกประกาศให้ผู้มีสิทธิบัตรทองสามารถรับบริการ Telemedicine ครอบคลุม 42 กลุ่มโรคได้ ทำให้เริ่มมองเห็นว่าในโรงเรียน โดยเฉพาะพื้นที่ห้องพยาบาลก็มีเด็กนักเรียนที่เข้ามาใช้บริการบ่อยเช่นกัน นอกจากนี้โครงการนี้ยังช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลรัฐได้อีกด้วย เพราะนักเรียนจะได้พบแพทย์ทาง Telemedicine พร้อมรับการจ่ายยาที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ยังมีบริการตรวจร่างกายพื้นฐานเป็นข้อมูลประกอบเพื่อให้แพทย์สามารถให้การรักษาได้อย่างแม่นยำมากขึ้นอีกด้วย
“อนาคตคลิกนิกก็จะมีบริการอื่นๆ ตามมา ตอนนี้ Telemedicine เริ่มได้รับความนิยม อนาคตก็มองว่า ไม่ว่าจะเป็นโรคเรื้อรัง ไขมัน เบาหวาน ซึ่งมีคิวที่ยาวมากในโรงพยาบาลก็อาจจะรักษาด้วย Telemedicine รวมไปถึงเรื่องจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้าที่ก็พบว่านักเรียนเป็นมากขึ้น ซึ่งโรคพวกนี้สามารถทำได้ผ่านระบบ Telemedicine เช่นกัน” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คลิกนิกเฮลท์ จำกัด ระบุ
ที่มา : https://www.nhso.go.th/news/4636?fbclid=IwY2xjawGnvDxleHRuA2FlbQIxMAABHdN1rD9rSrw0lMj–VozzyIGGOcHrw7ZWYhn4gcRcTUMhY5nn-Tc-d_xiw_aem_UN_ax20ByT72VxsgP64_1w
