สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการประชุมปรึกษาคดี จํานวน 13 เรื่อง ซึ่งเป็นคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการประชุมปรึกษาคดี จํานวน 13 เรื่อง ซึ่งเป็นคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ








วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ ดังนี้
นายสมบูรณ์ ทองบุราณ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 61/2567)
นายสมบูรณ์ ทองบุราณ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การดําเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้อง) ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ระดับอําเภอเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภามิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และไม่เป็นไปโดยลับ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๒๔ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มา ซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 28 วรรคหนึ่ง (6) และมาตรา และพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 มาตรา 22 มาตรา 25 และมาตรา 26 วรรคหนึ่ง (1)
นายวัฒนา ชมเชย (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 62/2567)
นายวัฒนา ชมเชย (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้องที่ 1) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้องที่ 2) นายณัฏฐกร คงเดชา ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจําจังหวัดราชบุรี (ผู้ถูกร้องที่ 3) นายวัชรชัย สมรักษ์ ผู้อํานวยการการเลือกระดับอําเภอ อําเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี (ผู้ถูกร้องที่ 4) ใช้ดุลพินิจโดยมิชอบในการรับสมัครผู้สมัครรับเลือกสมาชิกวุฒิสภา นอกจากนี้ การที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ผู้ถูกร้องที่ 5) ใช้กลไก ของกระทรวงมหาดไทย ทําให้การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภามิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมาตรฐานจริยธรรม ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 5 มาตรา 5 มาตรา 26 มาตรา 50 (7) และ (10) มาตรา 107 วรรคสอง มาตรา 108 ก. คุณสมบัติ (3) และมาตรา 215 วรรคสอง
ว่าที่ร้อยตรี วิชชุกร คําจันทร์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 25/2567)
ว่าที่ร้อยตรี วิชชุกร คําจันทร์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การกระทําของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้อง) ในการจัดให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ไม่เป็นไปโดยลับ ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม เป็นเหตุให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภา ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
มาตรา 107
นายจิรัฏฐ์ แจ่มสว่าง (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 67/2567)
นายจิรัฏฐ์ แจ่มสว่าง (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้องที่ 3) และเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้องที่ 2) ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ควบคุมและจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภาให้เป็นไป โดยสุจริตและเที่ยงธรรม ทําให้ได้สมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยที่มีคุณสมบัติไม่ตรงตาม เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 และอยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือความครอบงํา ของกลุ่มบุคคล ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้สมัครและ ปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25
นายปรีชา เดชาเลิศ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 68/2567)
นายปรีชา เดชาเลิศ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง (5) และ (12) มาตรา 41 วรรคหนึ่ง (5) และ (12) และมาตรา 42 วรรคหนึ่ง (5) ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 และมีคําสั่งให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นโมฆะ
นางฤติมา กันใจมา (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 69/2567)
นางฤติมา กันใจมา (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การดําเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้องที่ 1) เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้องที่ 2) ผู้อํานวยการการเลือกระดับอําเภอ (ผู้ถูกร้องที่ 3) คณะกรรมการระดับจังหวัด (ผู้ถูกร้องที่ 4) และพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 (ผู้ถูกร้องที่ 5) ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับอําเภอที่ได้ออกระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วย การเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2567 ข้อ 3 ที่แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 โดยเพิ่มความเป็นข้อ 75/1 เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ และเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อผู้ร้อง
พลตรีหญิง บุณญารัศม์ พัฒนะมหินทร์ และคณะ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๓ (เรื่องพิจารณาที่ ต. 70/2567)
พลตรีหญิง บุณญารัศม์ พัฒนะมหินทร์ และคณะ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้อง) จัดให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา
ในปี พ.ศ. 2567 เป็นไปโดยไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมก่อให้เกิดความเสียหายแก่สิทธิหรือเสรีภาพของผู้ร้องทั้งห้า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 34
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า คดีทั้งเจ็ดคําร้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การดําเนินการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง และขอให้ตรวจสอบความชอบ ด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา เป็นกรณีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (2) ที่บัญญัติว่า “การใช้สิทธิยื่นคําร้องตาม มาตรา 46 ต้องมิใช่เป็นกรณีอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ (2) รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบ รัฐธรรมนูญได้กําหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้ว” ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 213
สําหรับกรณีผู้ร้องยื่นคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ประกอบ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 48 โดยยื่นคําร้อง ผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) ซึ่งมิใช่การยื่นคําร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของ ศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 46 ประกอบมาตรา 48
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้องทั้งเจ็ดไว้พิจารณาวินิจฉัย
นายเตชทัต ดวงรัตน์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 63/2563)
นายเตชทัต ด้วงรัตน์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลจังหวัดตะกั่วป่า (ผู้ถูกร้องที่ 1) ที่มีคําสั่งยกคําร้องขอให้ กําหนดโทษใหม่ และคําพิพากษาของศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด (ผู้ถูกร้องที่ 2) (ชั้นขอให้กําหนดโทษใหม่) ที่พิพากษายืน โดยนําประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ซึ่งบัญญัติขึ้นภายหลังที่ผู้ร้อง กระทําความผิดมาใช้บังคับย้อนหลัง ทําให้กรณีของผู้ร้องไม่เข้าเงื่อนไขที่จะกําหนดโทษใหม่ เป็นการละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพของผู้ร้อง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 มาตรา 27 และมาตรา 29
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า การกระทําของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการใช้อํานาจ ของผู้พิพากษาหรือตุลาการที่มีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 188 วรรคสอง ประกอบกับเป็นเรื่องที่ศาลอื่นมีคําพิพากษาหรือคําสั่งถึงที่สุดแล้วตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (4) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
นายสามารถ สุยะโกทอง (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 64/2567)
นายสามารถ สุยะโกทอง (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การที่ศาลปกครองเชียงใหม่ (ผู้ถูกร้องที่ 1) และศาลปกครองสูงสุด (ผู้ถูกร้องที่ 2) ไม่รับคําร้องขอให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่และไม่รับอุทธรณ์ไว้พิจารณา อีกทั้งไม่รับคําร้องขอให้เพิกถอน คําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยผู้ร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคําร้องขอให้แก้ไขยกเลิกถ้อยคํา หรือข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับผู้ร้องในคําพิพากษา เป็นการละเมิดสิทธิของผู้ร้องในการดําเนินกระบวนพิจารณาคดี ตามกฎหมาย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 2 มาตรา 5 มาตรา 25 มาตรา 27 มาตรา 53 และมาตรา 68 วรรคสาม
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ผู้ร้องโต้แย้งดุลพินิจในการพิจารณาพิพากษาคดี ของผู้ถูกร้องทั้งสอง เป็นการใช้อํานาจของผู้พิพากษาหรือตุลาการที่มีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 188 วรรคสอง ประกอบกับเป็นเรื่องที่ศาลอื่นมีคําพิพากษาหรือคําสั่งถึงที่สุดแล้ว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (4) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
นายกุญชร วัชชัย และคณะ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 66/2567)
นายกุญชร วัชชัย และคณะ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า พระราชบัญญัติวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ. 2545 มาตรา 14 (3) มาตรา 20 (1) มาตรา 30 และมาตรา 55 ทําให้ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นสองไม่อาจสมัครรับเลือกตั้ง เป็นกรรมการสัตวแพทยสภาและใช้คํานําหน้าชื่อว่า “สัตวแพทย์” เป็นการกีดกันอย่างไม่เป็นธรรม ลิดรอนสิทธิ และเสรีภาพของผู้ร้อง และไม่ได้เข้าสู่กระบวนการก่อนการตรากฎหมาย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 มาตรา 27 มาตรา 40 มาตรา 77 และมาตรา 258 และข้อบังคับสัตวแพทยสภาว่าด้วยการใช้คํา หรือข้อความหรือใช้อักษรย่อของคําดังกล่าวประกอบกับชื่อตัวหรือชื่อสกุลของผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ. 2550 ข้อ 5 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 มาตรา 27 มาตรา 40 และมาตรา 77 ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ผู้ร้องทั้งห้ากล่าวอ้างว่า พระราชบัญญัติวิชาชีพ การสัตวแพทย์ พ.ศ. 2545 มาตรา 14 (3) มาตรา ๒๐ (1) มาตรา 30 และมาตรา 55 ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 มาตรา 27 มาตรา 40 มาตรา 77 และมาตรา 258 เป็นกรณีการยื่นคําร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย รัฐธรรมนูญบัญญัติให้สิทธิไว้เป็นการเฉพาะ แล้วตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 และมาตรา 231 (1) กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 48 ประกอบ มาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้อง ไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ส่วนกรณีที่ผู้ร้องทั้งห้ากล่าวอ้างว่า ข้อบังคับสัตวแพทยสภาว่าด้วยการใช้คําหรือข้อความหรือใช้อักษรย่อของคําดังกล่าวประกอบกับชื่อตัวหรือชื่อสกุลของผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ. 2550 ข้อ 5 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 มาตรา 27 มาตรา 40 และมาตรา 77 นั้น เป็นการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของข้อบังคับสัตวแพทยสภาซึ่งมีสภาพเป็น “กฎ” มิได้มีสถานะเป็น “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ที่ตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติตามความหมายของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 48 ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้อง ดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาของนายสมชาย เล่งหลัก สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ประกอบมาตรา 108 ข. ลักษณะต้องห้าม (1) และมาตรา 98 (5) หรือไม่ (เรื่องพิจารณา ที่ 38/2567)
คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ร้อง ส่งคําร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัยกรณีนายสมชาย เล่งหลัก สมาชิกวุฒิสภา ผู้ถูกร้อง ปรากฏตามคําพิพากษาศาลฎีกาที่ ลต สส 338/2567 ลงวันที่ 23 กันยายน 2567 พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องเป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่มีคําพิพากษา เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 111 (4) ประกอบ มาตรา 108 ข. ลักษณะต้องห้าม (1) และมาตรา ๙๘ (๔) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติ หน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๘๒ วรรคสอง และขอศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ตําแหน่งสมาชิกวุฒิสภาของผู้ถูกร้องว่างลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคําวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 45 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 76 วรรคหนึ่ง
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบคําร้องแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบคําร้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสี่ ประกอบวรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (5) จึงสั่งรับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และให้ผู้ถูกร้องยื่นคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสําเนาคําร้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54
สําหรับค่าของผู้ร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องและ
เอกสารประกอบคําร้องปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้อง จึงมีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิก วุฒิสภาตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2567 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 50 (10) ที่บัญญัติให้ผู้เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 40 ประกอบมาตรา 5 หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 21/2567 และเรื่องพิจารณาที่ 22/2567)
ศาลจังหวัดนครนายกส่งคําโต้แย้งของจําเลย รวม 2 คําร้อง เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 50 (10) ที่บัญญัติให้ผู้เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ ราชการ เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 40 ประกอบมาตรา 5 หรือไม่
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กําหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติในวันพุธที่ 25 ธันวาคม 2567 เวลา 09.30 นาฬิกา
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 64 (4) และมาตรา 65 วรรคหนึ่ง (2) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 27 หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 25/2567)
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ส่งคําโต้แย้งของผู้คัดค้าน (นางรัชนี พลซื่อ) ในคดีหมายเลขดําที่ ลต อบจ 1/2567 คดีหมายเลขแดงที่ 2391/2567 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 64 (4) และมาตรา 65 วรรคหนึ่ง (2) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 27 หรือไม่
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา ของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กําหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติใน วันที่ 15 มกราคม 2568 เวลา 09.30 นาฬิกา
อนึ่ง นายนิยม นพรัตน์ มีหนังสือลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ว่า การให้สัมภาษณ์ กรณีศาลรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับคําร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 เข้าข่ายละเมิดอํานาจศาลรัฐธรรมนูญตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2561 มาตรา 38 และมาตรา 39
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว ไม่ติดใจที่จะดําเนินการ แต่ทั้งนี้ การแสดงความเห็นในลักษณะ การวิจารณ์คําสั่งหรือคําวินิจฉัยคดีควรระมัดระวัง ให้กระทําโดยสุจริต โดยไม่ใช้ถ้อยคําที่มีความหมายหยาบคาย เสียดสี หรืออาฆาตมาดร้าย เพราะอาจเป็นความผิดละเมิดอํานาจศาลรัฐธรรมนูญได้
ความรู้ทางกฎหมายเพื่อประโยชน์สังคม : บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 34 แต่หากเป็นกรณีการแสดงความเห็นในลักษณะของการวิจารณ์คําสั่งหรือคําวินิจฉัยคดีที่มิได้ กระทําโดยสุจริต โดยใช้ถ้อยคําที่มีความหมายหยาบคาย เสียดสี หรืออาฆาตมาดร้าย เป็นความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 38 และมาตรา 39 และอาจเป็นความผิดฐานดูหมิ่นศาลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 194
ที่มา : https://shorturl.asia/y3mo8
