สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการประชุมปรึกษาคดี จํานวน 5 เรื่อง ซึ่งเป็นคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการประชุมปรึกษาคดี จํานวน 5 เรื่อง ซึ่งเป็นคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ

วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่สําคัญและเป็นที่สนใจ ดังนี้
นายการุญ เลี่ยวศรีสุข (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ 73/2567)
นายการุญ เลี่ยวศรีสุข (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองกลาง (ผู้ถูกร้อง) ที่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีชี้แจงว่าผู้ฟ้องคดีแก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิกประกาศอันเป็นประเด็นพิพาทแห่งคดีหรือไม่ และมีคําสั่งให้จําหน่ายคดีเพราะเหตุแห่งการฟ้องคดีหมดสิ้นไปรวมถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดไม่รับคําขอของผู้ร้องที่ขอให้พิจารณาชี้ขาดคดีปกครองใหม่ เป็นการละเมิดสิทธิหรือ เสรีภาพของผู้ร้อง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 5 วรรคหนึ่ง มาตรา 25 วรรคสาม มาตรา 188 และมาตรา 197 และระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 ข้อ 46 และข้อ 47
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบ คําร้องที่ผู้ร้องยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นการขอให้พิจารณาว่าการดําเนินกระบวนพิจารณาและมติขององค์คณะ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ คําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดี ของศาลปกครองเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้ถูกร้องที่เป็นการใช้อํานาจของผู้พิพากษาหรือตุลาการที่มีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 188 วรรคสอง ประกอบกับเป็นเรื่องที่ศาลอื่นมีคําพิพากษาหรือคําสั่งถึงที่สุดแล้วตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (4) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
นายณรงค์ วรวิทยาวงศ์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 75/2567)
นายณรงค์ วรวิทยาวงศ์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า ผู้ร้องยื่นคําร้องขอคัดค้านหนังสือสํานักงานศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งยุติเรื่องของผู้ร้อง เนื่องจากการสั่งยุติเรื่อง ดังกล่าวเป็นการกระทําโดยไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้อํานาจไว้ โดยองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ผู้ถูกร้อง) มิได้กระทําเป็นคําสั่งแต่กลับใช้ความเห็นส่วนตนในการกระทําการดังกล่าว อีกทั้งการที่ผู้ถูกร้องพิจารณาวินิจฉัย และมีคําสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 68/2567 ไม่รับคําร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยผู้ร้องเห็นว่า การกระทําของผู้ถูกร้อง เป็นการพิจารณาวินิจฉัยโดยผิดหลง ดําเนินกระบวนพิจารณาในลักษณะนอกฟ้องนอกประเด็น ดําเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ และละเมิดประมวลจริยธรรมตุลาการและมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 วรรคสอง และมาตรา 189 ทําให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องไม่ปรากฏว่าผู้ร้องยื่นคําร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเสียก่อน ผู้ร้องเคยยื่นคําร้องเรื่องเดียวกันนี้ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 และศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งที่ 68/2567 ไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยและให้ยุติเรื่อง การสั่งยุติเรื่อง จึงชอบแล้ว ประกอบกับไม่ปรากฏว่าผู้ร้องถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพและได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรงจากการกระทําของผู้ถูกร้องอย่างไร กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง อีกทั้งคําร้องนี้เป็นการโต้แย้งและคัดค้านการดําเนินกระบวนพิจารณาและคําสั่งของผู้ถูกร้องอันมีลักษณะเป็นการขออุทธรณ์คําสั่งศาลรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ไม่มีบทบัญญัติให้บุคคลมีสิทธิอุทธรณ์คําวินิจฉัยหรือคําสั่งของ ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีบทบัญญัติขอให้พิจารณาคดีใหม่ ผู้ร้องไม่อาจอุทธรณ์คําสั่งศาลรัฐธรรมนูญและขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้อ คําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
นายเสฐียร ศรีเมือง (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 76/2567)
นายเสฐียร ศรีเมือง (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ดังนี้
- การกระทําของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้องที่ ๑) เกี่ยวกับการจํากัดสิทธิของผู้ร้อง ในการสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ชอบด้วยกฎหมาย เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ทําให้การเลือกสมาชิก วุฒิสภาไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 215 และมาตรา 224 วรรคหนึ่ง (1) (2) (3) (4) และ (5)
- การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองกลาง (ผู้ถูกร้องที่ ๒) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพของผู้ร้องตามรัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 มาตรา 188 มาตรา 191 มาตรา 197 วรรคหนึ่งและวรรคสาม และมาตรา 215
- การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผู้ถูกร้องที่ ๓) ที่ยุติเรื่องร้องเรียนโดยไม่ดําเนินการ แสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของผู้ร้อง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 215 มาตรา 221 มาตรา 230 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และมาตรา 231
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบ คําร้องไม่ปรากฏว่าผู้ร้องยื่นคําร้องเกี่ยวกับการกระทําของผู้ถูกร้องที่ 1 ต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีไม่เป็นไป ตามหลักเกณฑ์พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
สําหรับการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นการใช้อํานาจของผู้พิพากษาหรือตุลาการ ที่มีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 188 วรรคสอง ประกอบกับเป็นเรื่องที่ศาลอื่น มีคําพิพากษาหรือคําสั่งถึงที่สุดแล้วตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (4) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ส่วนการกระทําของผู้ถูกร้องที่ 3 เป็นการใช้อํานาจตามกฎหมาย หากผู้ร้องเห็นว่าเป็นการ กระทําละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ ผู้ร้องอาจใช้สิทธิทางศาลได้ศาลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 วรรคสาม เป็นกรณีที่ รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้กําหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้ เป็นการเฉพาะแล้วตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่ อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
นายสุวิทย์ เหมตะศิลป์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 (เรื่องพิจารณาที่ ต. 77/2567)
นายสุวิทย์ เหมตะศิลป์ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณ ารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้องที่ 1) เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้องที่ 2) และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 (ผู้ถูกร้องที่ 3) ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ควบคุมและจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภาให้เป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 และมาตรา 224 เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของผู้ร้อง
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบ คําร้องเป็นเรื่องการดําเนินการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตั้ง ผู้ร้องอาจใช้สิทธิทางศาลได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 วรรคสาม เป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้กําหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคําร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคําสั่งไม่รับคําร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 50 (10) ที่บัญญัติให้ผู้เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 40 หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 21/2567 และเรื่องพิจารณา ที่ 22/2567)
ศาลจังหวัดนครนายกส่งคําโต้แย้งของจําเลย รวม 2 คําร้อง เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 50 (10) ที่บัญญัติให้ผู้เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ ราชการ เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 40 หรือไม่
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 50 (10) ที่บัญญัติให้ผู้เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทํา ความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ ผู้บริหารท้องถิ่น ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 40
หมายเหตุ บทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาในคดีเรื่องพิจารณาที่ 21/2567 และเรื่องพิจารณาที่ 22/2567 เรื่อง พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 50 (10) ที่บัญญัติให้ผู้เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําความผิดต่อตําแหน่ง หน้าที่ราชการ เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 40 หรือไม่
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
การตรากฎหมายจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
มาตรา 26 การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไข ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจําเป็นในการจํากัดสิทธิและเสรีภาพไว้ด้วย
กฎหมายตามวรรคหนึ่ง ต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง
เสรีภาพในการประกอบอาชีพ
มาตรา 40 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ
การจํากัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทํามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงหรือเศรษฐกิจของประเทศ การแข่งขันอย่างเป็นธรรม การป้องกันหรือขจัดการกีดกัน หรือการผูกขาด การคุ้มครองผู้บริโภค การจัดระเบียบการประกอบอาชีพเพียงเท่าที่จําเป็น หรือเพื่อประโยชน์ สาธารณะอย่างอื่น
การตรากฎหมายเพื่อจัดระเบียบการประกอบอาชีพตามวรรคสอง ต้องไม่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติหรือก้าวก่ายการจัดการศึกษาของสถาบันการศึกษา
หน้าที่ส่งเสริมการจัดให้มีมาตรการเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ
มาตรา 63 รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริตและ ประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน และจัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและขจัดการ ทุจริตและประพฤติมิชอบดังกล่าวอย่างเข้มงวด รวมทั้งกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมใน การรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ
บุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
มาตรา 98 บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตําแหน่งหน้าที่ ในการยุติธรรม หรือกระทําความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือ ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทําโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็น การฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นําเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วย การพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสํานัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือ กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน
การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น
มาตรา 252 สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง
ผู้บริหารท้องถิ่นให้มาจากการเลือกตั้งห รเลือกตั้งหรือมาจากความเห็นชอบของสภาท้องถิ่นหรือในกรณีองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ จะให้มาโดยวิธีอื่นก็ได้ แต่ต้องคํานึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งสมาชิก สภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งต้องคํานึงถึงเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตามแนวทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562
- ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
- มาตรา 50 บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
- เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
ความรู้ทางกฎหมายเพื่อประโยชน์สังคม : บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 34 แต่หากเป็นกรณีการแสดงความเห็นในลักษณะของการวิจารณ์คําสั่งหรือคําวินิจฉัยคดีที่มิได้ กระทําโดยสุจริต โดยใช้ถ้อยคําที่มีความหมายหยาบคาย เสียดสี หรืออาฆาตมาดร้าย เป็นความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 38 และมาตรา 39 และอาจเป็นความผิดฐานดูหมิ่นศาลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 198
ที่มา : https://shorturl.asia/2yJT7
