เสพติดบำบัดดีไหม

เมื่อพลาดไปติดสารเสพติด... การบำบัดคือทางออกที่ดีที่สุด

  • การติดสารเสพติดเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ติดเอง ครอบครัว และสังคม
  • การเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดติดสารเสพติด อาจเป็นเรื่องยากและน่ากลัว แต่การยอมรับปัญหาและแสวงหาความช่วยเหลือคือก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ดีขึ้น
  • เมื่อเกิดการติดยาเสพติดแล้ว การหาวิธีช่วยเหลือและฟื้นฟูเป็นสิ่งสำคัญมาก การบำบัดไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นกระบวนการที่จำเป็นในการกู้คืนชีวิตและสุขภาพของผู้ที่ตกอยู่ในวังวนของยาเสพติด

การบำบัดยาเสพติดคืออะไร?

การบำบัดยาเสพติดเป็นกระบวนการช่วยเหลือผู้ติดยาให้เลิกใช้ยาอย่างถาวร โดยครอบคลุมถึงการฟื้นฟูทั้งด้านร่างกายและจิตใจ วิธีการบำบัดมีหลากหลาย เช่น:

  • การให้คำปรึกษา: ช่วยผู้ป่วยระบายความรู้สึกและค้นหาแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลง
  • การใช้ยา: เพื่อลดอาการขาดยาและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  • การฟื้นฟูจิตใจ: ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์และการพัฒนาทักษะชีวิต
  • การสร้างแรงจูงใจ: ช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นอนาคตที่สดใสและปราศจากยาเสพติด

ทำไมการบำบัดจึงสำคัญ?

  • ฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและจิตใจ: การบำบัดจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากผลกระทบของสารเสพติด และช่วยให้จิตใจกลับมาเข้มแข็ง สามารถรับมือกับความเครียดและอารมณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น
  • เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิต: ผู้เข้ารับการบำบัดจะได้เรียนรู้ทักษะการแก้ปัญหา การจัดการกับความรู้สึก และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเริ่มต้นชีวิตใหม่
  • ป้องกันการกลับไปใช้สารเสพติดซ้ำ: การบำบัดจะช่วยให้ผู้เข้ารับการบำบัดเข้าใจสาเหตุที่นำไปสู่การติดสารเสพติด และเรียนรู้วิธีป้องกันไม่ให้กลับไปใช้สารเสพติดซ้ำ
  • สร้างความหวังและกำลังใจ: การบำบัดจะช่วยให้ผู้เข้ารับการบำบัดเห็นถึงความเป็นไปได้ในการมีชีวิตที่ดีขึ้น และสร้างความหวังในการกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ
  • สร้างโอกาสในการเริ่มต้นใหม่: การบำบัดช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยปราศจากอิทธิพลของยาเสพติด
  • ลดผลกระทบต่อครอบครัวและสังคม: การที่ผู้ป่วยได้รับการบำบัดสามารถช่วยลดความเครียดและปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัว และป้องกันการกระทำผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

คำแนะนำสำหรับผู้ที่ติดสารเสพติด

  • อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ: การยอมรับว่าตนเองมีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือเป็นสิ่งที่กล้าหาญมาก
  • เลือกสถานบำบัดที่เหมาะสม: มีสถานบำบัดหลากหลายรูปแบบให้เลือก สิ่งสำคัญคือการเลือกสถานบำบัดที่มีโปรแกรมที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพของตนเอง
  • เปิดใจรับการบำบัด: การบำบัดจะได้ผลดีเมื่อผู้เข้ารับการบำบัดเปิดใจและร่วมมือกับผู้บำบัดอย่างจริงจัง
  • สร้างเครือข่ายสนับสนุน: การมีเพื่อน ครอบครัว หรือกลุ่มคนที่ให้กำลังใจ จะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปได้ง่ายขึ้น

คำแนะนำสำหรับครอบครัวและผู้ปกครอง

       การสนับสนุนทางอารมณ์และการให้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ปกครองควรเรียนรู้วิธีการสื่อสารและช่วยเหลือบุตรหลานที่เผชิญปัญหายาเสพติดอย่างเหมาะสม

    • อย่าตัดสินหรือตำหนิ: การให้กำลังใจและความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
    • แสวงหาความรู้เกี่ยวกับการติดสารเสพติด: การเรียนรู้เกี่ยวกับการติดสารเสพติดจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ป่วยได้ดีขึ้น
    • พาผู้ป่วยไปพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ: การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องในการดูแลผู้ป่วย
    • เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน: การพูดคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์คล้ายกันจะช่วยให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวและได้รับกำลังใจ

คำแนะนำสำหรับเยาวชน

  • เรียนรู้เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติดตั้งแต่อายุยังน้อย: สามารถช่วยป้องกันการเริ่มใช้ยา 
  • ปฏิเสธการใช้สารเสพติด: การใช้สารเสพติดอาจทำให้เสียอนาคตและส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
  • บอกเล่าปัญหาให้ผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ฟัง: หากรู้สึกกดดันหรือมีปัญหา ควรปรึกษาผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ เช่น พ่อแม่ ครู หรือพี่เลี้ยง
  • หาเพื่อนที่ดี: การมีเพื่อนที่ดีจะช่วยให้มีกำลังใจและหลีกเลี่ยงสิ่งยั่วยุต่างๆ

การบำบัดไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่

  • การบำบัดยาเสพติดเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในกระบ่งการฟื้นตัว เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่ปราศจากปัญหายาเสพติด
  • การกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติต้องอาศัยความพยายามอย่างต่อเนื่อง ความเข้าใจและการสนับสนุนจากครอบครัวและสังคมเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยผู้ติดยาให้กลับมามีชีวิตที่ดี 
  • หากคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังเผชิญกับปัญหาการติดสารเสพติด อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

หมายเหตุ ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญได้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือความช่วยเหลือ โปรดติดต่อสถานพยาบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หากต้องการคำแนะนำเฉพาะทาง โปรดติดต่อผู้เชี่ยวชาญหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หากต้องการข้อมูลสถานบำบัดทั้งของรัฐและเอกชน สามารถสอบถามได้ที่

    • ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน โทร. 1111

รายชื่อศูนย์คัดกรอง/สถานฟื้นฟู/ศูนย์ฟื้นฟูและสถานพยาบาลยาเสพติด

FAQ การบำบัดรักษายาเสพติด

การนำผู้ป่วยเสพติดเข้ารับการบำบัดรักษาควรคำนึงถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือ

  • ชนิดของสารเสพติดที่ผู้เสพติดใช้ว่าเป็นสารเสพติดประเภทใด ถ้าเป็นชนิดที่เสพติดได้ง่าย เช่น สารเสพติดประเภทเฮโรอีน ฝิ่น ยาบ้า สารระเหย หรือแม้กระทั่งสุรา ก็ควรนำผู้เสพติดเข้ารับการบำบัดรักษา
  • ปริมาณการเสพสารเสพติดมาก – น้อยเพียงใด ถ้าใช้ในปริมาณมากควรเข้ารับการบำบัดรักษา
  • ระยะเวลาในการเสพติด มีข้อมูลทางวิชาการพบว่า แม้ผู้เสพติดจะเพิ่งเริ่มใช้ยาเสพติดมาไม่นานก็จำเป็นต้องเข้ารับการบำบัดรักษา เพื่อช่วยลดความบาดเจ็บของสมอง
  • สภาพร่างกาย และจิตใจของผู้เสพติด ญาติควรอยู่ใกล้ชิดและคอยสังเกตอาการของผู้เสพติดว่า มีอาการผิดปกติทางร่างกาย และจิตใจหรือไม่ เช่น ร่างกายทรุดโทรม ซีด ผอม หรือเริ่มมีอาการหูแว่ว เห็นภาพหลอน หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวผิดปกติ หากผู้เสพติดมีอาการเหล่านี้ต้องรีบนำส่งสถานบำบัดทันที
  • ในกรณีที่ผู้เสพติดมีความมุ่งมั่นที่จะเลิกยาเสพติดด้วยตนเอง ที่เราเรียกกันว่า “การหักดิบ” แล้วผู้ป่วยไม่สามารถทนต่อความทุกข์ทรมานต่างๆ ได้ ควรนำส่งพบแพทย์ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ซึ่งอาการขาดยาที่รุนแรงอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

วิธีการส่งผู้ป่วยเสพติดเข้ารับการบำบัดรักษามีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

  1. เตรียมความพร้อมผู้ป่วยและญาติ/ผู้ดูแล หมายความว่า ผู้ป่วยและญาติต้องเข้าใจขั้นตอนการบำบัดรักษาผู้ป่วยเสพติดว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง และที่สำคัญคือต้องใช้ระยะเวลานานตั้งแต่ 4 เดือนถึง 1 ปีในการบำบัด
  2. ต้องเตรียมเอกสารที่แสดงตัวตนของผู้ป่วย เช่น บัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หรือบัตรที่ทางราชการออกให้ และมีรูปถ่ายของผู้ป่วยติดไว้
  3. ติดต่อสถานบำบัดรักษาที่ใกล้บ้าน เพื่อความสะดวกในการช่วยเหลือขณะที่ผู้ป่วยอยู่รับการบำบัด
  4. ในกรณีที่ผู้ป่วยเสพติดมีสิทธิบัตรทอง บัตรประกันสังคม สามารถใช้สิทธิการบำบัดรักษาได้ในสถานพยาบาลตามที่ระบุในบัตร หากสถานพยาบาลที่ท่านมีสิทธิในการรักษาไม่สามารถให้การบำบัดรักษาได้จะมีระบบการส่งต่อไปรักษาต่อเนื่องในสถานพยาบาลที่มีศักยภาพที่สูงกว่า

ในกรณีนี้เป็นกรณีที่พบบ่อย

  • ขอให้ผู้ปกครองใช้ความรัก ความเข้าใจในการช่วยเหลือ โดยขอให้พูดคุยด้วยเหตุผล ไม่ควรใช้อารมณ์ในการพูดคุย หรือตัดสินปัญหาด้วยความรุนแรง เพราะจะสร้างแผลใจให้กับผู้เสพติดได้
  • ควรพูดคุยให้ผู้เสพติดเห็นถึงโทษพิษภัยของการใช้ยาเสพติด และลองให้ผู้ป่วยประเมินตนเองว่าขณะนี้ตนเองมีสุขภาพร่างกาย และจิตใจเป็นอย่างไร และในมุมมองของญาติเห็นว่าตอนนี้ผู้ป่วยมีสุขภาพร่างกายเป็นอย่างไร สิ่งที่ญาติหลายคนเห็นว่าผู้ป่วยมีสุขภาพที่เปลี่ยนไป จึงจะขอให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์ เพื่อสุขภาพตรวจร่างกาย
  • และหากแพทย์เห็นว่าควรได้รับการบำบัด ญาติต้องให้กำลังใจ และควรบอกเล่าให้ผู้ป่วยเข้าใจว่า การบำบัดรักษาจะส่งผลดีต่อผู้ป่วยและครอบครัวอย่างไร

การบำบัดรักษาผู้ป่วยเสพติดมี 2 รูปแบบ คือ

  1. การรักษาแบบผู้ป่วยนอก เป็นการรักษาที่ไม่ต้องนอนค้างในโรงพยาบาล แพทย์เป็นผู้ให้การรักษาทางยา ส่วนพยาบาลหรือนักบำบัดในทีมสุขภาพจะเป็นผู้ให้การบำบัดทางจิตสังคม แพทย์จะนัดพบตามระยะที่กำหนด ใช้ระยะเวลาการบำบัดใช้เวลานาน 4 เดือน เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีระบบการติดตามหลังการบำบัดรักษานาน 1 ปี เพื่อติดตามพฤติกรรมและป้องกันการเสพติดซ้ำ จากรายงานทางวิชาการพบว่า หากผู้ป่วยเสพติดใช้ยาเสพติดมาไม่นาน ยังไม่มีโรคแทรกซ้อนทางกายและจิต ญาติให้ความร่วมมือในการบำบัดรักษาดี การบำบัดรักษาในรูปแบบนี้จะให้ผลดีเช่นกัน
  2. การบำบัดรักษาแบบผู้ป่วยใน เป็นการบำบัดรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยใช้ยาเสพติดในปริมาณมาก และใช้ยามานาน จนมีอาการแทรกซ้อนไม่ว่าจะเป็นอาการทางกาย หรือทางจิต การบำบัดใช้ระยะเวลา 4 เดือนเช่นกัน เพราะมีหลักฐานทางวิชาการที่เชื่อว่า สมองของผู้เสพติดจะสามารถฟื้นคืนหายได้ เมื่อได้รับการบำบัดฟื้นฟู และไม่ใช้ยาเสพติดนานกว่า 4 เดือนขึ้นไป