กรมการขนส่งทางราง ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาระบบขนส่งทางรางตามนโยบายของรัฐบาลในปี 2568
กรมการขนส่งทางราง ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาระบบขนส่งทางรางตามนโยบายของรัฐบาลในปี 2568 โดยใช้แนวทาง “9 แนวทาง 3 ระยะ 5 ด้าน” ซึ่งมีการดำเนินการที่สำคัญหลายประการเพื่อพัฒนาระบบรางในประเทศ
ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ www.ThaiMOTnews.com ถึงแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบขนส่งทางรางปี 2568 ว่า ขร. ได้วางแนวทางการดำเนินการพัฒนาการขนส่งทางรางตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มีการวางคอนเซปไว้ว่า “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” โดยเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและการพัฒนาการให้บริการตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างโอกาสและการเข้าถึงตามแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย ซึ่งในส่วนของระบบขนส่งทางรางจะประกอบด้วย “9 แนวทาง 3 ระยะ 5 ด้าน” โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. การขยายผลนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย
หลังจากการดำเนินการในรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงพบว่ามีผลตอบรับที่ดี โดยปริมาณผู้โดยสารเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2568 นี้จะมีการขยายผลไปยังรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางให้ประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิตและส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้ขนส่งระบบรางมากขึ้น
2. ผลักดันพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง
ในปี 2568 ขร. จะดำเนินการเร่งรัดเพื่อประกาศใช้ พรบ.การขนส่งทางราง พ.ศ. … โดยเร็ว รวมถึงกฎหมายลำดับรองต่างๆ ที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการขนส่งทางราง เพื่อเป็นกลไกในการกำกับดูแลระบบการขนส่งทางรางให้มีมาตรฐานสากล โดยปัจจุบัน พรบ.ฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ และในส่วนของกฎหมายลำดับรอง ขร. ได้มีการดำเนินการเสร็จไปแล้วจำนวน 17 ฉบับ
3. เร่งรัดการก่อสร้างโครงข่ายทางราง
ขร. ยังคงมุ่งเน้นการกำกับ ติดตาม การพัฒนาโครงข่ายทางราง ทั้งรถไฟทางคู่ ทางสายใหม่ รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงเมืองหลักในภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกในการเดินทาง ช่วยลดระยะเวลาเดินทาง ลดปริมาณการจราจรและอุบัติเหตุบนท้องถนน เกิดการเชื่อมโยงระบบรางทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ ทำให้ระบบรางเป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ โดยแบ่งเป็น ดังนี้
เร่งรัดก่อสร้างรถไฟฟ้า จำนวน 4 โครงการ ได้แก่
– สายสีชมพู ส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี ระยะทาง 3 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง คืบหน้าร้อยละ 79.02 กำหนดเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568 เส้นทางนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่จะเดินทางไป Impact เมืองทองธานีได้
– สายสีส้ม ส่วนตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี ระยะทาง 22.50 กิโลเมตร ซึ่งก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ และสายสีส้ม ส่วนตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – บางขุนนนท์ ระยะทาง 13.40 กิโลเมตร ปัจจุบัน รฟม. ได้ลงนามสัญญากับ BEM เพื่อก่อสร้างงานโยธาส่วนตะวันตก รวมถึงติดตั้งระบบไฟฟ้าและจัดหาขบวนรถให้บริการตลอดเส้นทาง ทั้งส่วนตะวันออกและตะวันตก คาดว่าเปิดให้บริการส่วนตะวันออกได้ภายในปี 2571 และส่วนตะวันตก ภายในปี 2573
– สายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.60 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง คืบหน้าร้อยละ 46.34 กำหนดเปิดให้บริการได้ภายในปี 2572
เร่งรัดก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 ที่เหลือ ให้สามารถเปิดให้บริการได้ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
– ช่วงลพบุรี – ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กิโลเมตร ปัจจุบันก่อสร้างทางแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างวางแผนการใช้ระบบตราทางสะดวกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Token) ไปพลางก่อนในระหว่างการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณเต็มรูปแบบ คาดว่าจะเปิดให้บริการเดินรถไฟทางคู่ได้ภายในต้นปี 2568
– ช่วงมาบกะเบา – ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร ปัจจุบันก่อสร้างสัญญาที่ 1 ช่วงมาบกะเบา – คลองขนานจิตร และสัญญาที่ 3 งานอุโมงค์รถไฟแล้วเสร็จ และ รฟท. ได้เปิดให้บริการเดินรถทางคู่เรียบร้อยแล้ว คงเหลือพื้นที่บางส่วน ปัจจุบันอยู่ระหว่างเสนอขออนุมัติ ครม. พิจารณาอนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมอีก 197.77 ล้านบาท เพื่อใช้เวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ สำหรับสัญญาที่ 2 ช่วงคลองขนานจิตร – ชุมทางถนนจิระ ปัจจุบัน รฟท. อยู่ระหว่างปรับรูปแบบก่อสร้าง เพื่อลดผลกระทบข้อร้องเรียนของประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา
เร่งรัดก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น – หนองคาย ระยะทาง 167 กิโลเมตร ซึ่ง รฟท. ได้ลงนามในสัญญาแล้วเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 กำหนดเริ่มก่อสร้างในเดือนเมษายน 2568
เร่งรัดก่อสร้างรถไฟทางสายใหม่ ขยายโครงข่ายระบบราง จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
– ช่วงเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ ระยะทาง 322 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง คืบหน้าร้อยละ 21.43 กำหนดเปิดให้บริการได้ภายในปี 2571 ซึ่งจะเชื่อมต่อกับศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ของกรมการขนส่งทางบก
– ช่วงบ้านไผ่ – มุกดาหาร – นครพนม ระยะทาง 355 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง คืบหน้าร้อยละ 8.20 กำหนดเปิดให้บริการได้ภายในปี 2570 ซึ่งจะเชื่อมต่อกับศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนมของกรมการขนส่งทางบก
เร่งรัดก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
– รถไฟความเร็วสูง ไทย – จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา ระยะทาง 253 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง คืบหน้าร้อยละ 38.07 กำหนดเปิดให้บริการได้ภายในปี 2571
– รถไฟเชื่อมสามสนามบิน ระยะทาง 220 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างงานโยธาทับซ้อนกับโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย – จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา สัญญาที่ 4-1 ช่วงบางซื่อ – ดอนเมือง คาดว่าจะเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาภายในเดือนมกราคม 2568
4. เสนอขออนุมัติโครงการก่อสร้างโครงข่ายทางราง
ในปี 2568 ขร.จะมีการเร่งเสนอเพื่อขออนุมัติการดำเนินการโครงการระบบขนส่งทางรางในเส้นทางต่าง ๆ ดังนี้
1) เร่งเสนอขออนุมัติโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ส่วนต่อขยาย ตามแผนแม่บทขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ 2 (M-MAP2) ในกลุ่ม A1 (พร้อมดำเนินการทันที) ตามมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ได้แก่ ช่วงรังสิต – มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กิโลเมตร ซึ่ง คค. ได้เสนอเรื่องไปยัง ครม. เรียบร้อยแล้ว ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 ครม.ได้เห็นชอบให้ดำเนินการเร่งเปิดประมูล ส่วนช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช – ศาลายา ระยะทาง 20.50 กิโลเมตรปัจจุบันอยู่ระหว่างขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) เพื่อประกอบการเสนอขออนุมัติ ครม. ต่อไป
2) เร่งเสนอขออนุมัติโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 อีก 6 โครงการ ได้แก่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กิโลเมตร ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 281 กิโลเมตร ช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร ช่วงเด่นชัย – เชียงใหม่ ระยะทาง 189 กิโลเมตร โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) เพื่อประกอบการเสนอขออนุมัติ ครม.
3) เร่งเสนอขออนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย – จีน ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย ระยะทาง 357 กิโลเมตร
5. ศึกษาการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางในระยะต่อไป
กระทรวงคมนาคมได้นำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการจัดการจราจรทางบก ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 เพื่อดำเนินการศึกษาโครงข่ายระบบขนส่งทางราง เพื่อให้ครอบคลุมทั้งระบบ
– ศึกษาการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง เชื่อมโยงพื้นที่ศูนย์คมนาคมพหลโยธินในย่านจตุจักร และ กม. 11
– ศึกษาออกแบบระบบขนส่งมวลชนทางรางในเมืองภูมิภาค ในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดนครราชสีมา และทบทวนการออกแบบในจังหวัดภูเก็ต
– ผลักดันการพัฒนาโครงข่ายทางรถไฟเชื่อมนิคมอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าทางราง
– ลดต้นทุนโลจิสติกส์ ส่งเสริมให้ระบบรางเป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ ตามแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายรถไฟให้ครอบคลุมและเชื่อมโยงพื้นที่ ทั่วประเทศ และรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบได้อย่างไร้รอยต่อ (R-MAP) โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมและจะดำเนินการออกแบบรายละเอียดใน 4 แห่งตามแผน R-MAP ระยะเร่งด่วน (พ.ศ. 2566 – 2570) ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ลำพูน นิคมอุตสาหกรรมสีเขียว กฟผ. แม่เมาะ ระยะที่ 1 ช่วงสถานีแม่เมาะ – CY กฟผ. แม่เมาะ นิคมอุตสาหกรรม WHA ตะวันออก ระยอง และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี
– ศึกษาเส้นทางรถไฟสายใหม่ ได้แก่ รถไฟเชื่อม 2 สนามบิน (ช่วงท่านุ่น – ภูเก็ต และช่วงทับปุด – กระบี่) รถไฟทางคู่ ช่วงกาญจนบุรี – บ้านพุน้ำร้อน รถไฟทางคู่ ช่วงสุพรรณบุรี – นครหลวง – ชุมทางบ้านภาชี และรถไฟรองรับ Land bridge ช่วงชุมพร-ระนอง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการเดินทางให้กับประชาชน และสร้างโอกาสการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้น
6. พัฒนาระบบราง เชื่อมไทย เชื่อมโลก
ขร. ได้ดำเนินการศึกษา เพื่อหาแนวเส้นทางรถไฟ เชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง รวมถึงการส่งออกสินค้าของไทย โดยในปี 2568 จะมีการเร่งรัดโครงการได้แก่เร่งรัดขับเคลื่อนการเชื่อมโยงไทย – ลาว โดยเชื่อมต่อสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและการขนส่งสินค้าระหว่างไทยและลาว รวมถึงจัดเตรียมพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าสถานีนาทา เร่งรัดขับเคลื่อนการเชื่อมโยงไทย – มาเลเซีย โดยส่งเสริมการพัฒนารถไฟทางคู่สายใต้ ขยายโครงข่ายทางรถไฟไปยังประเทศมาเลเซีย และเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งเชื่อมไทย – กัมพูชา โดยเน้นความเชื่อมโยงการขนส่งทางรถไฟ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าทางรางผ่านชายแดนไทย-กัมพูชา
7. เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางราง
นอกจากการขยายโครงข่ายระบบขนส่งทางรางแล้ว ยังต้องมีการส่งเสริมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อให้ประชาชนสะดวกต่อการเข้าถึงไม่ว่าจะเป็นการจัดระบบ Feeder เชื่อมต่อระบบรางกับระบบขนส่งอื่น อำนวยความสะดวกการเข้าถึงระบบขนส่งทางราง การทยอยนำรถไฟตู้โดยสารปรับอากาศให้บริการแทนรถร้อน การเร่งจัดหารถจักรและล้อเลื่อน รองรับรถไฟทางคู่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศ และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนต่อไป การส่งเสริมให้เอกชนร่วมลงทุนเดินรถขนส่งผู้โดยสารและสินค้าในรูปแบบ PPP Modified Gross Cost เพื่อลดภาระงบประมาณภาครัฐ สามารถกำหนดนโยบายค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรมได้ ลดภาระการขาดทุนของ รฟท. ประชาชนได้รับบริการที่ดีและมีความสะดวกรวดเร็ว
นอกจากนั้นยังต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยและด้านบริการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการ ขร. จึงจะจัดทำมาตรฐานการขนส่งทางราง เช่น มาตรฐานการตรวจสภาพรถขนส่งทางราง มาตรฐานระบบระบายน้ำโครงการสร้างพื้นฐานระบบราง รวมถึงแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางลักผ่าน ผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมพิจารณาการขออนุญาตและการแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟกับถนน อีกทั้งยังคงมีการลงพื้นที่ตรวจประเมินคุณภาพสถานีขนส่งทางรางให้เป็นไปตามมาตรฐาน จัดทำหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าขนส่ง ค่าใช้ประโยชน์จากราง และค่าบริการในการประกอบกิจการขนส่งทางราง เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการหันมาใช้บริการขนส่งสินค้าทางรางมากยิ่งขึ้น
การเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรางระหว่าง ICD ลาดกระบัง และท่าเรือแหลมฉบัง การดำเนินการพัฒนาระบบรางไทยควบคู่กับวิถีประชาชน โดยจัดพื้นที่จำหน่ายสินค้า OTOP และของดีวิถีริมทางรถไฟ ช่วยสนับสนุนนโยบาย Soft Power เสนอสินค้าภูมิปัญญาไทย เพิ่มรายได้ให้ชุมชน โดยการดำเนินการนี้จะทำควบคู่ไปกับการสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคการขนส่งทางราง โดยการใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ข้อมูลประกอบการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบขนส่งทางรางปี 2568
ในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบขนส่งทางรางในปี 2568 กรมการขนส่งทางราง (ขร.) จะดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มอบนโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง และการพัฒนาการให้บริการตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างโอกาสและการเข้าถึงตามแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย ประกอบด้วย “9 แนวทาง 3 ระยะ 5 ด้าน” โดยจะดำเนินการด้านระบบรางในปี 2568 ดังนี้
1. ขยายผลนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ซึ่งจากการดำเนินการในรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงพบว่ามีผลตอบรับที่ดี โดยปริมาณผู้โดยสารเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 นี้จะขยายผลไปยังรถไฟฟ้า สายอื่น ๆ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางให้ประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิต และส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้ขนส่งระบบรางมากขึ้น
2. ผลักดันพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง ให้ประกาศใช้โดยเร็ว ตลอดจนผลักดันกฎหมายลำดับรอง ภายใต้พระราชบัญญัติการขนส่งทางราง เพื่อเป็นกลไกในการกำกับดูแลระบบการขนส่งทางรางให้มีมาตรฐานสากล โดยปัจจุบันได้จัดทำกฎหมายลำดับรองแล้วเสร็จ จำนวน 17 ฉบับ
3. เร่งรัดการก่อสร้างโครงข่ายทางราง
มุ่งเน้นการกำกับ ติดตาม การพัฒนาโครงข่ายทางราง ทั้งรถไฟทางคู่ ทางสายใหม่ รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงเมืองหลักในภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกในการเดินทาง ช่วยลดระยะเวลาเดินทาง ลดปริมาณการจราจรและอุบัติเหตุบนท้องถนน เกิดการเชื่อมโยงระบบรางทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ ทำให้ระบบรางเป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ ดังนี้
3.1 เร่งรัดก่อสร้างรถไฟฟ้า จำนวน 4 โครงการ ได้แก่
- สายสีชมพู ส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี ระยะทาง 3 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง คืบหน้าร้อยละ 79.02 กำหนดเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568 เส้นทางนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่จะเดินทางไป Impact เมืองทองธานีได้
- สายสีส้ม ส่วนตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี ระยะทาง 22.50 กิโลเมตร ซึ่งก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ และสายสีส้ม ส่วนตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – บางขุนนนท์ ระยะทาง 13.40 กิโลเมตร ปัจจุบัน รฟม. ได้ลงนามสัญญากับ BEM เพื่อก่อสร้างงานโยธาส่วนตะวันตก รวมถึงติดตั้งระบบไฟฟ้าและจัดหาขบวนรถให้บริการตลอดเส้นทาง ทั้งส่วนตะวันออกและตะวันตก คาดว่าเปิดให้บริการส่วนตะวันออกได้ภายในปี 2571 และส่วนตะวันตก ภายในปี 2573
- สายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.60 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง คืบหน้าร้อยละ 46.34 กำหนดเปิดให้บริการได้ภายในปี 2572
3.2 เร่งรัดก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 ที่เหลือ ให้สามารถเปิดให้บริการได้ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
- ช่วงลพบุรี – ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กิโลเมตร ปัจจุบันก่อสร้างทางแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างวางแผนการใช้ระบบตราทางสะดวกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Token) ไปพลางก่อนในระหว่างการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณเต็มรูปแบบ คาดว่าจะเปิดให้บริการเดินรถไฟทางคู่ได้ภายในต้นปี 2568
- ช่วงมาบกะเบา – ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร ปัจจุบันก่อสร้างสัญญาที่ 1 ช่วงมาบกะเบา – คลองขนานจิตร และสัญญาที่ 3 งานอุโมงค์รถไฟแล้วเสร็จ และ รฟท. ได้เปิดให้บริการเดินรถทางคู่เรียบร้อยแล้ว คงเหลือพื้นที่บางส่วน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเสนอขออนุมัติ ครม. พิจารณาอนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมอีก 197.77 ล้านบาท เพื่อใช้เวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
สำหรับสัญญาที่ 2 ช่วงคลองขนานจิตร – ชุมทางถนนจิระ ปัจจุบัน รฟท. อยู่ระหว่างปรับรูปแบบก่อสร้าง เพื่อลดผลกระทบข้อร้องเรียนของประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา
3.3 เร่งรัดก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น – หนองคาย ระยะทาง 167 กิโลเมตร ซึ่ง รฟท. ได้ลงนามในสัญญาแล้ว เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 กำหนดเริ่มก่อสร้างในเดือนเมษายน 2568
3.4 เร่งรัดก่อสร้างรถไฟทางสายใหม่ ขยายโครงข่ายระบบราง จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
- ช่วงเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ ระยะทาง 322 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง คืบหน้าร้อยละ 21.43 กำหนดเปิดให้บริการได้ภายในปี 2571 ซึ่งจะเชื่อมต่อกับศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ของกรมการขนส่งทางบก
- ช่วงบ้านไผ่ – มุกดาหาร – นครพนม ระยะทาง 355 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง คืบหน้าร้อยละ 8.20 กำหนดเปิดให้บริการได้ภายในปี 2570 ซึ่งจะเชื่อมต่อกับศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนมของกรมการขนส่งทางบก
3.5 เร่งรัดก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
- รถไฟความเร็วสูง ไทย – จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา ระยะทาง 253 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างคืบหน้าร้อยละ 38.07 กำหนดเปิดให้บริการได้ภายในปี 2571
- รถไฟเชื่อมสามสนามบิน ระยะทาง 220 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างงานโยธาทับซ้อนกับโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย – จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา สัญญาที่ 4-1 ช่วงบางซื่อ – ดอนเมือง คาดว่าจะเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาภายในเดือนมกราคม 2568
4. เสนอขออนุมัติโครงการก่อสร้างโครงข่ายทางราง
4.1 เร่งเสนอขออนุมัติโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ส่วนต่อขยาย ตามแผนแม่บทขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ 2 (M-MAP2) ในกลุ่ม A1 (พร้อมดำเนินการทันที) ตามมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 จำนวน 3 โครงการ ได้แก่
- ช่วงรังสิต – มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กิโลเมตร ซึ่ง ครม. เห็นชอบให้ดำเนินการเปิดประมูลเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568
- ช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช – ศาลายา ระยะทาง 20.50 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) เพื่อประกอบการเสนอขออนุมัติ ครม. ต่อไป
4.2 เร่งเสนอขออนุมัติโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 อีก 6 โครงการ ได้แก่
- ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กิโลเมตร
- ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 281 กิโลเมตร
- ช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร
- ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร
- ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร
- ช่วงเด่นชัย – เชียงใหม่ ระยะทาง 189 กิโลเมตร
ปัจจุบันอยู่ระหว่างขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) เพื่อประกอบการเสนอขออนุมัติ ครม.
4.3 เร่งเสนอขออนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย – จีน ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย ระยะทาง 357 กิโลเมตร
5. ศึกษาการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางในระยะต่อไป
โดยกระทรวงคมนาคมได้นำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการจัดการจราจรทางบก ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ดังนี้
5.1 ศึกษาการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง เชื่อมโยงพื้นที่ศูนย์คมนาคมพหลโยธินในย่านจตุจักร และ กม. 11 ซึ่งมีแผนจะพัฒนาโครงการบ้านเพื่อคนไทย
5.2 ศึกษาออกแบบระบบขนส่งมวลชนทางรางในเมืองภูมิภาค ในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดนครราชสีมา และทบทวนการออกแบบในจังหวัดภูเก็ต
5.3 ผลักดันการพัฒนาโครงข่ายทางรถไฟเชื่อมนิคมอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าทางราง ลดต้นทุนโลจิสติกส์ ส่งเสริมให้ระบบรางเป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ ตามแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายรถไฟให้ครอบคลุมและเชื่อมโยงพื้นที่ ทั่วประเทศ และรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบได้อย่างไร้รอยต่อ (R-MAP) โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมและจะดำเนินการออกแบบรายละเอียด ใน 4 แห่งตามแผน R-MAP ระยะเร่งด่วน (พ.ศ. 2566 – 2570) ได้แก่
- นิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ลำพูน
- นิคมอุตสาหกรรมสีเขียว กฟผ. แม่เมาะ ระยะที่ 1 ช่วงสถานีแม่เมาะ – CY กฟผ. แม่เมาะ
- นิคมอุตสาหกรรม WHA ตะวันออก ระยอง
- นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี
5.4 ศึกษาเส้นทางรถไฟสายใหม่ เพิ่มขีดความสามารถ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ในแนวเส้นทางดังนี้
- รถไฟเชื่อม 2 สนามบิน (ช่วงท่านุ่น – ภูเก็ต และช่วงทับปุด – กระบี่)
- รถไฟทางคู่ ช่วงกาญจนบุรี – บ้านพุน้ำร้อน
- รถไฟทางคู่ ช่วงสุพรรณบุรี – นครหลวง – ชุมทางบ้านภาชี
- รถไฟรองรับ Land bridge ช่วงชุมพร-ระนอง
6. พัฒนาระบบราง เชื่อมไทย เชื่อมโลก
- เร่งรัดขับเคลื่อนการเชื่อมโยงไทย – ลาว โดยเชื่อมต่อสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและการขนส่งสินค้าระหว่างไทยและลาว รวมถึงจัดเตรียมพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าสถานีนาทา
- เร่งรัดขับเคลื่อนการเชื่อมโยงไทย – มาเลเซีย โดยส่งเสริมการพัฒนารถไฟทางคู่สายใต้ ขยายโครงข่ายทางรถไฟไปยังประเทศมาเลเซีย
- เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งเชื่อมไทย – กัมพูชา โดยเน้นความเชื่อมโยงการขนส่งทางรถไฟ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าทางรางผ่านชายแดนไทย-กัมพูชา
7. เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางราง
- เตรียมผลักดันการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าที่ได้รับโอนภารกิจจากกรุงเทพมหานคร จำนวน 3 โครงการ ได้แก่
- สายสีเงิน ช่วงบางนา – ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะทาง 19.70 กิโลเมตร
- สายสีฟ้า ช่วงดินแดง – สาทร ระยะทาง 9.50 กิโลเมตร
- สายสีเทา ช่วงวัชรพล – ทองหล่อ ระยะทาง 16.30 กิโลเมตร
- จัดระบบ Feeder เชื่อมต่อระบบรางกับระบบขนส่งอื่น อำนวยความสะดวกการเข้าถึงระบบขนส่งทางราง
- ทยอยนำรถไฟตู้โดยสารปรับอากาศให้บริการแทนรถร้อน
- เร่งจัดหารถจักรและล้อเลื่อน รองรับรถไฟทางคู่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศ และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนต่อไป
- ส่งเสริมให้เอกชนร่วมลงทุนเดินรถขนส่งผู้โดยสารและสินค้าในรูปแบบ PPP Modified Gross Cost เพื่อลดภาระงบประมาณภาครัฐ สามารถกำหนดนโยบายค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรมได้ ลดภาระการขาดทุนของ รฟท. ประชาชนได้รับบริการที่ดีและมีความสะดวกรวดเร็ว
- จัดทำมาตรฐานการขนส่งทางราง เช่น มาตรฐานการตรวจสภาพรถขนส่งทางราง มาตรฐานระบบระบายน้ำโครงการสร้างพื้นฐานระบบราง
- แก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางลักผ่าน ผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมพิจารณาการขออนุญาตและการแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟกับถนน
- ตรวจประเมินคุณภาพสถานีขนส่งทางรางให้เป็นไปตามมาตรฐาน
- จัดทำหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าขนส่ง ค่าใช้ประโยชน์จากราง และค่าบริการในการประกอบกิจการขนส่งทางราง เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการหันมาใช้บริการขนส่งสินค้าทางรางมากยิ่งขึ้น
- เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรางระหว่าง ICD ลาดกระบัง และท่าเรือแหลมฉบัง
- สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคการขนส่งทางราง โดยการใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- พัฒนาระบบรางไทยควบคู่กับวิถีประชาชน โดยจัดพื้นที่จำหน่ายสินค้า OTOP และของดี วิถีริมทางรถไฟ ช่วยสนับสนุนนโยบาย Soft Power เสนอสินค้าภูมิปัญญาไทย เพิ่มรายได้ให้ชุมชน
- กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ผ่านนโยบาย IGNITE Thailand ด้วยระบบขนส่งทางราง โดยนำขบวน Royal Blossom และ KIHA มาให้บริการรถไฟท่องเที่ยว
“กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางราง มุ่งมั่น เดินหน้า ขับเคลื่อน แผนงาน โครงการด้านระบบรางเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เชื่อมโยงโครงข่ายกับนานาประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมในภูมิภาค เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ อย่างยั่งยืน นำไปสู่การคมนาคมที่สะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา และราคาสมเหตุสมผล” อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กล่าวในตอนท้าย
ที่มา : https://citly.me/z9xZ2