กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกับ “ทีมตรวจสุดซอย” ตรวจสอบโรงงานเหล็ก บริษัท สิงห์ไทย สตีล จำกัด
กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกับ “ทีมตรวจสุดซอย” เข้าดำเนินการตรวจสอบโรงงาน บริษัท สิงห์ไทย สตีล จำกัด ตำบลหัวหว้า อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งประกอบกิจการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตและเหล็กโครงสร้างรีดร้อน หลังจากได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพของเหล็กข้ออ้อยที่มีปัญหา โดยเฉพาะกรณีเหล็กที่หักเมื่อใช้ในการก่อสร้างในอำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก การตรวจสอบพบว่า โรงงานได้เพิ่มเครื่องจักรใหม่โดยไม่แจ้งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมทราบตามระเบียบ และมีการเก็บตะกรันและของเสียจากการหลอมอย่างไม่เหมาะสม และพบว่าไม่มีการแจ้งการจัดการกากอุตสาหกรรมภายนอกโรงงานตามข้อกำหนด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้สั่งให้หยุดการกระทำที่ผิดกฎหมายและดำเนินการแก้ไข ยังพบปัญหาคุณภาพอากาศบางจุดเกินกว่าค่ามาตรฐาน แต่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และได้มีการเก็บตัวอย่างวัสดุที่ใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อวิเคราะห์คุณภาพต่อไป
วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กองบริการงานอนุญาตโรงงาน 1 และกองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วม “ทีมตรวจสุดซอย” นำโดยนางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าดำเนินการตรวจสอบบริษัท สิงห์ไทย สตีล จำกัด ประกอบกิจการ โรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน ในพื้นที่ ตำบลหัวหว้า อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี
สืบเนื่องจากประชาชนร้องเรียนเหล็กข้ออ้อยไม่มีคุณภาพ ผ่านทางสื่อ “มติชนออนไลน์” กรณีผู้รับเหมาในอำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ซื้อเหล็กข้ออ้อยขนาด DB16 จากร้านจำหน่ายในอำเภอแม่สอด เพื่อใช้งานก่อสร้างโดยขณะทำการดัดเหล็กปรากฏว่าเกิดการหักออกเป็นสองท้อน ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้และอาจเป็นอันตรายหากนำไปใช้งาน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเหล็กข้ออ้อยดังกล่าวทำจากโรงงานบริษัท สิงห์ไทย สตีล จำกัด จึงเป็นเหตุให้ทีมสุดซอยเข้าทำการตรวจสอบโรงงานดังกล่าว
จากตรวจสอบครั้งนี้ พบการเพิ่มเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการ ได้แก่เตาเหนี่ยวนำไฟฟ้า ขนาด 12 ตัน จำนวน 1 ชุด (ชุดละ 2 เตา) เตาอบเหล็กแท่ง ใช้ก๊าซ LPG จำนวน 1 ซึ่งไม่สอดคล้องกับรายการเครื่องจักรที่ได้แจ้งประกอบกิจการไว้ จึงเข้าข่ายเป็นการเริ่มประกอบกิจการโรงงานในส่วนใดส่วนหนึ่งโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 13 วรรคหนึ่ง มีบทลงโทษตามมาตรา 51 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท ตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 และยังพบการกองเก็บตะกรันจากการหลอมปะปนกับของเสียจากการคัดแยก เป็นการจัดเก็บที่ไม่เหมาะสม รวมถึงพบว่าไม่มีการแจ้งการนำกากอุตสาหกรรมออกไปจัดการภายนอกบริเวณโณงงานผานระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยการกระทำกรฝ่าฝืนและการกระทำที่ไม่เหมาะสม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี จะได้มีคำสั่งมาตรา 37 ให้หยุดการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนและให้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องในลำดับถัดไป นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบคุณภาพอากาศ จากเล่มรายงานติดตามผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA Monitoring report) ฉบับเดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาพบว่า ผลการตรวจวัดจากปล่องเตาหลอม พบว่าอัตราการระบายมีค่าสูงกว่าค่าควบคุมเล็กน้อย ในส่วนปล่องเตาอบเหล็ก (Reheating Furnace) พบว่า ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน มีค่าสูงกว่าค่าควบคุมที่กำหนดใน EIA แต่ยังมีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และพนักงานเจ้าหน้าที่ ได้มีการเก็บตัวอย่างวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจากพื้นที่โรงงาน ประกอบด้วย ฝุ่นจากการหลอมเหล็ก จำนวน 2 ชุดตัวอย่าง และสารช่วยดึงสารมลทิน slag “Deoxidizer” จากน้ำเหล็ก อีก 1 ชุดตัวอย่าง เพื่อนำไปตรวจวัดและวิเคราะห์
ทั้งนี้ การลงพื้นที่ตรวจสอบในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการกำกับดูแลกิจการอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งต่อแรงงาน ชุมชนโดยรอบ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ที่มา : Facebook กรมโรงงานอุตสาหกรรม