ครม. เห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินใน 3 จ.ชายแดนภาคใต้ ปี 68
ครม. เห็นชอบการขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี 2568
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า แม้ในปัจจุบันสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ แต่ผู้ประกอบการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส) รวมถึง 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา (เทพา จะนะ นาทวี และสะบ้าย้อย) จำนวนมากยังคงประสบข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน รวมถึงมีต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น
ดังนั้น เพื่อเสริมสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการในพื้นที่สามารถดำเนินธุรกิจและขยายกิจการได้อย่างต่อเนื่องด้วยต้นทุนต่ำและแบ่งเบาภาระดอกเบี้ย กระทรวงการคลัง จึงขอเสนอการขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์
การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) (โครงการฯ) ปี 2568 ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 มีมติเห็นชอบแล้ว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
- วงเงินโครงการฯ 15,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น วงเงิน 12,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการรายเดิมที่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการฯ และวงเงิน 3,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ที่ยังไม่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการฯ มาก่อน
- วงเงินกู้ต่อราย ผู้ประกอบการที่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการฯ วงเงินกู้สูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกินวงเงินที่เคยได้รับสูงสุดไม่เกิน 20 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ วงเงินกู้สูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท
- อัตราดอกเบี้ย ธนาคารออมสินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี และสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการในอัตราร้อยละ 1.99 ต่อปี
- ระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2570 โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 หรือจนกว่าวงเงินที่กำหนดไว้จะถูกจัดสรรหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน
กระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการสามารถมีเงินทุนหมุนเวียนเพื่อฟื้นฟูและพัฒนากิจการไปได้ ทำให้เกิดความมั่นใจในการประกอบกิจการและมีการลงทุนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน
ที่มา : Facebook สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (Fiscal Policy Office)