กระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ใช้เวลากว่า 100 วันแล้ว

กระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ใช้เวลากว่า 100 วันแล้ว

            กระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ใช้เวลากว่า 100 วันแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยง “กำแพงภาษี” และรักษาตลาดส่งออกมูลค่ากว่า 18% ของมูลค่าส่งออกไทย ซึ่งสหรัฐฯ ต้องการเปิดตลาด (Market Access) มากขึ้น พร้อมเร่งลดการขาดดุลการค้า แต่การเจรจาไม่ใช่แบบ Win-Win เหมือน FTA ทั่วไป

            ไทยยืนยันต้องรักษาสมดุลผลประโยชน์อย่างยั่งยืน 3 แนวทางหลักที่ไทยใช้เจรจา เปิดตลาดอย่างรอบคอบ – ไทยเสนอเปิดตลาดในสินค้าที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจ และไม่กระทบต่อ FTA อื่นและส่งเสริมการลงทุนข้ามประเทศ – ดึงดูดธุรกิจไทยไปลงทุนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะพลังงานและเกษตรแปรรูป



           (14 ก.ค. 68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานเสวนาโต๊ะกลม “The Art of (Re) Deal” ว่าในเรื่องของการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ นั้น ใช้เวลาในการเจรจามากว่า 100 วันแล้ว และจะครบกำหนดอีกครั้งในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 นี้ สิ่งที่เห็นได้ในช่วงที่ผ่านมาคือ ความพยายามของสหรัฐฯ ในการลดการขาดดุลการค้า โดยต้องการเพิ่มการเปิดตลาดเพื่อให้สินค้าสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดต่าง ๆ มากขึ้น (Market Access) ที่ต้องมีการตกลงกันในเรื่องของการเปิดตลาด และต้องมีการคุยเรื่องมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) ทุกขั้นตอน โดยในการหารือในครั้งนี้ยอมรับว่าสหรัฐฯ ใช้การเจรจาที่เป็นข้อเสนอฝ่ายเดียว ที่ไม่เหมือนกับการเจรจาข้อตกลงเสรีทางการค้า (FTA) และสหรัฐฯ เสนอว่าจะต้องการสิ่งต่าง ๆ ซึ่งไม่เหมือนกับการเจรจา
ที่ผ่านมาที่เป็นการเจรจาที่ฟังข้อเสนอของทั้งสองฝ่าย

           ทั้งนี้เราต้องรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน รักษาสมดุล และผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่จะต้องทำให้ได้โดยยึดประโยชน์ร่วมกัน หากเราตกลงไม่ได้จะเจอกำแพงภาษีอย่างแน่นอน ขณะนี้เราพึ่งพาการส่งออกมาก และเราส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 18% เราต้องเจรจาในเรื่องของหลักการ สถานการณ์ คือ ต้องเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี และต้องดูเงื่อนไขว่าอะไรจะกระทบกับประเทศที่ 3 และประเทศคู่ค้าอื่น ๆ เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ ต้องดูว่ามีการเจรจาที่ไม่เป็นการชักศึกเข้าบ้าน

การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ อยู่บนหลักการที่ทีมเจรจายึดอยู่ ดังนี้

  1. ไทยต้องเปิดตลาดให้กว้างขึ้นในสินค้าที่สหรัฐฯ อยากขาย และไทยอยากซื้อ แต่ไทยต้องดูเรื่องของการเปิดตลาดที่ไม่กระทบกับการทำ FTA ของประเทศต่าง ๆ ที่ทำกับไทย โดยการเสนอให้สหรัฐฯ นำสินค้าเข้ามาในระดับ 0% ที่ไทยผลิตไม่ได้ และต้องนำเข้า หรือของที่ผลิตในไทยแล้วไม่เพียงพอ สำหรับข้อเสนอใหม่ที่ไทยเราส่งไปให้พิจารณา เราเปิดตลาดให้สหรัฐฯ แล้ว 63-64% และเพิ่มเป็น 69% เรามีการเปิดตลาดสินค้าบางอย่างที่เราไม่เคยเปิดจะต้องเปิดมากขึ้น
  2. ส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น เพราะสหรัฐฯ ต้องการส่งออกมากขึ้น และทำฐานผลิตในประเทศสหรัฐฯ ให้มีความแข็งแรงมากขึ้น เช่น การลงทุนเรื่องเกษตรแปรรูป เรื่องของสินค้าที่เราต้องซื้อจากสหรัฐฯ โดยไทยเราดูในเรื่องของพลังงานมากขึ้น ปัจจุบันสหรัฐฯ มีปริมาณสำรองเรื่องของพลังงานค่อนข้างมากทำให้ราคาพลังงานมีราคาต่ำ
  3. การให้ความสำคัญกับการป้องกันการสวมสิทธิสินค้า โดยข้อเสนอของสหรัฐฯ นั้นจะให้มีการเพิ่มการใช้วัตถุดิบหรือส่วนประกอบที่มีการผลิตในประเทศไทย (Local content) เป็นโจทย์ที่เราต้องดูว่าสหรัฐฯ จะกำหนดในสัดส่วนเท่าไร โดยอาจจะเพิ่มจาก 40% ในปัจจุบันเป็น 60-70% ที่เป็นต้นทุนที่จะใช้ Local content จากประเทศไทย และประเทศต่าง ๆ ที่สหรัฐกำหนดมากขึ้น เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอที่เสนอไปแล้วจะมีผลผูกพันระยะยาว และจะต้องเสนอเรื่อง Win Win

           สำหรับการเยียวยาผู้ประกอบการที่ต้องเจาะไปถึง SMEs และภาคเกษตร จะให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐเตรียม Soft Loan ไว้ประมาณ 2 แสนล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.01% เพื่อช่วยเหลือทั้งการลงทุน ช่วยการจ้างงาน การบริหารสินค้าคงคลัง และมาตรการอื่น ๆ ของสถาบันการเงิน มาตรการเยียวยาต่าง ๆ มีการเตรียมการมาระยะหนึ่งแล้ว โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้จากระดับปกติที่ดอกเบี้ย 2% ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพิ่มเติมจากมาตรการที่วางไว้

           ด้านนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบในหลายมิติ ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจลงทุน นอกเหนือไปจากอัตราภาษีตอบโต้ ยังมีภาษีการส่งผ่านสินค้า (Transshipment) และภาษีรายสินค้าตามมาตรา 232 เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงภายใต้กฎหมาย Trade Expansion Act ซึ่งปัจจุบันมีการประกาศแล้วในอลูมิเนียม ทองแดง รถยนต์ และชิ้นส่วนสำคัญบางชิ้น รวมถึงคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ที่ปัจจุบันได้รับการยกเว้น แต่ในอนาคตไม่แน่นอน อีกทั้งยังมีเรื่องการจำกัดการส่งออกชิป AI ซึ่งไทยอยู่ในรายชื่อประเทศที่ได้รับผลกระทบ แต่ปัจจัยด้านภาษีไม่ใช่ตัวตัดสินเพียงหนึ่งเดียวในการลงทุน นอกจากนี้ ยังมี Global Minimum Tax ที่ประกาศใช้เป็น พ.ร.บ.ภาษีส่วนเพิ่ม เก็บภาษีขั้นต่ำ 15% ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทเพิ่มขึ้น บีโอไอจึงได้เตรียมแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่ม “เครดิตภาษี” มาช่วยบรรเทาผลกระทบ ขณะที่นายรัชวิชญ์ ปิยะปราโมทย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในส่วนของมาตรการเฝ้าระวังสินค้าสวมสิทธินั้น ทางกรมการค้าต่างประเทศจะเป็นผู้ออกหนังสือรับรองถิ่นกําเนิดสินค้า (Certificate of Origin : C/O) สำหรับสินค้าที่จะส่งออกไปยังสหรัฐฯ เบื้องต้นมีสินค้าที่เฝ้าระวังจำนวน 49 รายการ และขณะนี้กำลังพิจารณาสินค้าเฝ้าระวังเพิ่มเติมอีก

สำหรับการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ กระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับทุกภาคส่วนทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบ โดยแบ่งออกเป็น

1. การช่วยเหลือด้านการเงินให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือ Soft Loan
2. การหาตลาดใหม่ให้กับผู้ประกอบการโดยมีเป้าหมายใน 5 ตลาดประกอบด้วย ตลาดลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ แอฟริกาและยุโรป
3. การพัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มมูลค่าสินค้า การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการซื้อขาย

           นอกจากนี้ กระทรวงยังเร่งเจรจา FTA ซึ่งเป็นเครื่องมือในการดึงดูดการลงทุน ซึ่งปัจจุบันการค้าระหว่างไทยกับประเทศคู่ค้า FTA คิดเป็น 60% ของการค้าทั้งหมดของไทย โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนนี้เป็น 80% ภายในปี 2570 ทั้งนี้การเจรจาภาษีสหรัฐฯ ทีมเจรจาทำอย่างเต็มที่ไม่เฉพาะแค่กระทรวงพาณิชย์แต่ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคประชาชนได้ร่วมมือกันโดยมีเป้าหมายให้ได้อัตราภาษีที่ต่ำที่สุด ต้องยอมรับว่าการเจรจาเป็นเรื่องที่ยากต้องใช้เวลาแต่ยืนยันว่าทีมเจรจาจะทำอย่างรอบคอบและดีที่สุด

 



ที่มา : Website : กรมประชาสัมพันธ์