กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันเร่งควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างเต็มที่

กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันเร่งควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างเต็มที่

          กระทรวงสาธารณสุข เร่งใช้ 4 มาตรการหลัก ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ควบคู่กับการเร่งจัดหาวัคซีนเพื่อฉีดให้คนไทยครบ 100 ล้านโดส โดยภาคเอกชนร่วมบริจาคเงินให้รัฐเพื่อซื้อวัคซีน รวมทั้งเปิดทางให้ รพ.เอกชนจัดซื้อวัคซีนเองเพื่อฉีดให้แก่ผู้เข้ารับบริการ


 

          ตามที่มีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และกระตุ้นเศรษฐกิจจากกรณีผลการสำรวจของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย สำรวจธุรกิจทั่วประเทศ หลังเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่เดือน เม.ย. จะสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจราว 2-3 แสนล้านบาท และอาจทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีลดลงไปอีก 1.2.-1.8%

          นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า การระบาดระลอกนี้เริ่มจากสถานบันเทิง และกระจายไปในหลายจังหวัด รวมถึงในสถานที่ทำงาน ครอบครัว และชุมชนเพิ่มมากขึ้น ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ การทำกิจกรรมร่วมกัน การรับประทานอาหาร พบปะสังสรรค์ แม้แต่การสังสรรค์ในบ้าน ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อในครอบครัวและผู้สูงอายุได้ จึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือของประชาชน ในการหยุดการระบาดและควบคุมโรค

          รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ย้ำว่าขณะนี้ประเทศไทยได้ดำเนินการใน 4 มาตรการหลักเพื่อควบคุมโรค ได้แก่ มาตรการสาธารณสุข ค้นหาผู้ป่วย ติดตามผู้สัมผัส กักกันโรค, มาตรการทางสังคม ปิดสถานที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ลดกิจกรรมรวมกลุ่ม หลีกเลี่ยงการเดินทาง, มาตรการองค์กร ได้แก่ ทำงานที่บ้าน (Work from home) ให้มากที่สุด, จัดสถานที่ในที่ทำงานให้ปลอดภัย หากพบผู้มีความเสี่ยงหรือผู้ติดเชื้อในที่ทำงาน อย่าตระหนก ให้ประเมินความเสี่ยงและงดกิจกรรมรวมกลุ่มทุกกรณี และมาตรการส่วนบุคคล สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่มีคนแออัด เชื่อว่าหากร่วมมือร่วมใจกันสัปดาห์หน้าจะเห็นผลที่เกิดจากมาตรการที่ดำเนินงานมาชัดเจนขึ้น และจะเสนอต่อ ศบค. เพื่อพิจารณาปรับมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป

          สำหรับข้อเสนอเรื่องการเร่งฉีดวัคซีน โดยให้เอกชนร่วมจัดหาวัคซีนนั้น เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้ประชุมคณะทำงานพิจารณาแนวทางการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมของประเทศไทย มีทั้งภาครัฐ เอกชน สภาหอการค้า และสภาอุตสาหกรรมร่วมประชุมได้ข้อสรุปว่า จะฉีดให้ครอบคลุมทุกคนในประเทศเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะฉีด 70 ล้านโดส จะเพิ่มให้ได้ 100 ล้านโดส ขณะนี้เรามีวัคซีน 65 ล้านโดส จะต้องจัดหาอีก 35 ล้านโดส โดยมี 3 แนวทางคือ

          1.ให้ภาครัฐ โดยกระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม ไปจัดซื้อเพิ่มเติม ขณะนี้เจรจาแล้วหลายบริษัท

          2.ภาคเอกชน โดยสภาหอการค้า ยินดีบริจาคเงินให้รัฐบาลซื้อวัคซีน ฉีดให้กลุ่มเป้าหมาย เช่น แรงงานในโรงงาน 10 ล้านโดส

          3.โรงพยาบาลเอกชนขอจัดซื้อเอง เพื่อฉีดให้ผู้รับบริการของโรงพยาบาลเอกชน เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัว

          ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน คือ 1.มีระบบดูแลความปลอดภัยตามที่กรมควบคุมโรคกำหนด 8 ขั้นตอน 2.ระบบรายงานเชื่อมต่อกัน และ 3.มีการติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีน

 



ที่มา : https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG210424133606178