บอร์ด สปสช.เพิ่ม 2 สิทธิประโยชน์ ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจสิทธิบัตรทอง

บอร์ด สปสช.เพิ่ม 2 สิทธิประโยชน์ ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจสิทธิบัตรทอง

       บอร์ด สปสช. เพิ่ม 2 สิทธิประโยชน์ ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจสิทธิบัตรทอง อนุมัติ “ชุดอุปกรณ์ทำหัตถการ TAVI” สำหรับรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกระยะรุนแรง และ “วัสดุอุดกั้นหลอดเลือดขนาดใหญ่ชนิดก้อน” สำหรับรักษาผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา “ประสิทธิภาพดี – ราคาถูกกว่า”


       ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2568 ที่ผ่านมา โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธาน มีมติเห็นชอบ “การกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ปีงบประมาณ 2568 จำนวน 2 รายการ ประกอบด้วย 1. ชุดอุปกรณ์ในการทำหัตถการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวน (Transcatheter Aortic Valve Implantation หรือ TAVI) ในผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบระยะรุนแรง (Severe Symptomatic Aortic Stenosis) และ 2. รายการอุปกรณ์สำหรับรักษาผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจ”

       นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ชุดอุปกรณ์ในการทำหัตถการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวน เป็นวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบระยะรุนแรง ที่เป็นผู้สูงอายุ หรือมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยการผ่าตัด หรือไม่เหมาะที่จะเข้ารับการผ่าตัดแบบเปิด เพราะการฟื้นตัวหลังรักษาช้ากว่าการรักษาด้วยการทำหัตถการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวน

       ทั้งนี้ การพิจารณาเพิ่มรายการอุปกรณ์ในการทำหัตถการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวนนี้ คณะอนุกรรมการฯ พิจารณามาตั้งแต่ปี 2565 แต่ขณะนั้นการประเมินความคุ้มค่าตามประสิทธิผลต้นทุนพบว่ายังไม่คุ้มค่า เนื่องจากราคายังสูง คือประมาณ 6 – 8 แสนบาทต่อชุด

       อย่างไรก็ดี ด้วยอุปกรณ์ดังกล่าวมีความจำเป็นต่อการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบระยะรุนแรง ทาง สปสช. จึงมอบหมายให้ สปสช. ทำการต่อรองราคากับบริษัทผู้ผลิต เพื่อให้ได้ราคาที่ลดลงมาอยู่ในระดับที่มีความคุ้มค่า โดยคำนึงถึงคุณภาพอุปกรณ์และบริการเป็นสำคัญ จนในที่สุดสามารถต่อรองได้ในจุดที่มีความคุ้มค่าคือประมาณ 3 แสนบาทต่อชุด

       นพ.จเด็จ กล่าวต่อไปว่า สำหรับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่จะสามารถรับการทำหัตถการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวนได้ จะต้องเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบระยะรุนแรง รวมถึงมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ คือ 1. พื้นที่เปิดของลิ้นหัวใจเอออร์ติก น้อยกว่า 1 ตารางเซนติเมตร และ 2. ค่าความดันเฉลี่ยผ่านลิ้นหัวใจมากกว่า 40 มิลลิเมตรปรอท (ต้องเข้าเกณฑ์ทั้ง 2 ข้อ) นอกจากนี้ ต้องเข้าคุณสมบัติเพิ่มเติมอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ 1. เป็นผู้ป่วยที่อายุเกิน 80 ปี หรือ 2. ค่าการประเมินความเสี่ยงการเสียชีวิตจากการผ่าตัดด้วยแบบจำลอง STS Score มากกว่าหรือเท่ากับ 8% หรือ 3. ผู้ป่วยได้รับการประเมินโดยคณะทำงาน Heart Team ว่าไม่เหมาะสมต่อการผ่าตัดแบบเปิด เช่น มีภาวะ Porcelain aorta, มีประวัติการฉายรังสีบริเวณทรวงอก, เคยได้รับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (CABG) โดยยังมีหลอดเลือด LIMA-LAD ที่ทำงานอยู่

       นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ บอร์ด สปสช. ยังได้เห็นชอบ “วัสดุสำหรับอุดกั้นหลอดเลือดขนาดใหญ่ชนิดก้อน (Vascular Plugs) สำหรับใช้รักษาผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจ” ซึ่งเป็นการเพิ่มรายการอุปกรณ์ใหม่เพื่อทดแทนอุปกรณ์เดิม เนื่องจากอุปกรณ์ใหม่นี้ มีประสิทธิภาพที่สูงกว่า แต่ราคาถูกกว่าอุปกรณ์เดิม

       “ในส่วนของงบประมาณเพื่อดำเนินการนั้น คาดว่าชุดอุปกรณ์ในการทำหัตถการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวน ซึ่งจะมีแบบชุดอุปกรณ์พื้นฐาน (Basic set) ราคา 2.8 แสนบาทต่อชุด และชุดอุปกรณ์ครบชุด (Comprehensive set) 3.3 แสนบาทต่อชุด คาดว่าจะใช้งบรวมประมาณ 87 ล้านบาทต่อปี สำหรับการรักษาผู้ป่วย 300 รายต่อปี ขณะที่อุปกรณ์รักษาผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจจะอยู่ที่ 22,500 บาทต่อชิ้น ซึ่งการเพิ่ม 2 สิทธิประโยชน์ใหม่นี้ นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของระบบบัตรทอง เพื่อดูแลผู้ป่วยให้เข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ มีคุณภาพและมาตรฐาน เป็นการยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วยรักษาโรคหัวใจในระบบบัตรทอง” เลขาธิการ สปสช. กล่าว