สปสช. ร่วมรณรงค์เนื่องใน “วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก” วันที่ 10 กันยายน 2568
- สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมรณรงค์เนื่องใน “วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก” วันที่ 10 กันยายน 2568
- ภายใต้แนวคิด “Changing the narrative on suicide” หรือ “Start the Conversation” เพื่อเปิดใจ พูดคุย ลดการตีตรา และป้องกันการฆ่าตัวตาย
- ข้อมูลปี 2567 พบว่า มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย 5,126 ราย โดยกลุ่มวัยทำงานเสียชีวิตมากที่สุด และวัยรุ่น 15 – 19 ปี เป็นกลุ่มที่พยายามฆ่าตัวตายสูงสุด
- สปสช. สนับสนุนการดูแลสุขภาพจิตผ่านระบบ “บัตรทอง 30 บาท” โดยมีผู้ป่วยจิตเวชรับบริการแล้วกว่า 2.7 ล้านคน
- พร้อมบริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323 และระบบ AI ตรวจสุขภาพใจ “DMIND” รวมถึง “บริการสุขภาพจิตครบวงจร” ที่ร่วมมือกับภาคประชาชนตั้ง “ศูนย์ให้การปรึกษาสุขภาพจิต” เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการดูแลจิตใจได้ง่ายขึ้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
- สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่- สายด่วนสุขภาพจิต 1323 (24 ชม.)
- Line สปสช. พิมพ์ @nhso หรือคลิก : https://lin.ee/zzn3pU6
- Facebook: สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
 
       องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้วันที่ 10 กันยายนของทุกปี เป็นวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก เพื่อสร้างความตระหนักรู้และลดการสูญเสียจากการฆ่าตัวตาย ซึ่งยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของโลกและประเทศไทย โดยปี 2567 – 2569 เป็นการรณรงค์ภายใต้แนวคิด “Changing the narrative on suicide” ที่มุ่งเน้น “Start the Conversation” หรือ “การเริ่มต้นสนทนา” เพื่อเปิดใจ ลดการตีตรา และร่วมกันหาทางออกในการป้องกันการฆ่าตัวตาย ประเทศไทยโดยข้อมูลกรมสุขภาพจิต ปี 2567 พบว่า มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายจำนวน 5,126 ราย คิดเป็น 7.89 ต่อแสนประชากร โดยกลุ่มวัยทำงาน อายุ 20–59 ปี มีจำนวนสูงที่สุด 3,635 ราย รองลงมาคือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 1,345 ราย วัยรุ่นอายุ 15–19 ปี 122 ราย และเด็กอายุ 5 – 14 ปี 24 ราย
       ส่วนอัตราการพยายามฆ่าตัวตายอยู่ที่ 49.42 ต่อแสนประชากร หรือเฉลี่ยทุก ๆ 1 ชั่วโมง จะมีคนพยายามฆ่าตัวตายถึง 4 คน โดยกลุ่มวัยเรียน/วัยรุ่นอายุ 15–19 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราการพยายามฆ่าตัวตายสูงที่สุดถึง 136.4 ต่อแสนประชากร สปสช. ตระหนักและห่วงใยต่อสถานการณ์ข้างต้นนี้ ภายใต้ “ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” (บัตรทอง 30 บาท) ได้มีสิทธิประโยชน์เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพจิตให้กับคนไทย ซึ่งปัจจุบันมีผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ารับการรักษาในระบบบัตรทองมากกว่า 2.7 ล้านคน และคาดว่ายังมีประชาชนที่มีปัญหาสุขภาพจิตอีกราว 10 ล้านคน ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตได้ จากข้อจำกัดบุคลากรในการให้บริการ
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและลดอัตราการฆ่าตัวตาย นอกจากสิทธิประโยชน์บริการ “สายด่วนสุขภาพจิต 1323” ดำเนินการโดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และบริการนวัตกรรม DMIND ดำเนินการโดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อการแพทย์ด้านจิตเวช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ AIMET ในการคัดกรองภาวะซึมเศร้าด้วยระบบ AI ซึ่งจะมีระบบส่งต่อรองรับกรณีพบความเสี่ยง เพื่อดูแลคนไทยทุกคนทุกสิทธิรักษาพยาบาล โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแล้ว
       เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา บอร์ด สปสช. อนุมัติ “บริการสุขภาพจิตครบวงจร” โดยมอบหมายให้ สปสช. ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและนอกระบบสาธารณสุข โดยเน้นการเพิ่มบทบาทของ “ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน” ยกระดับเป็น “หน่วยบริการตามมาตรา 3” เป็น “ศูนย์ให้การปรึกษาสุขภาพจิต” เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการให้คำปรึกษาเบื้องต้น รวมถึงคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยง อาทิ ผู้ที่มีความเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า รวมถึงผู้ที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตอื่น ๆ ให้เข้าถึงการเยียวยาจิตใจในเบื้องต้นได้ง่ายขึ้น
ขั้นตอนรับบริการ สายด่วนสุขภาพจิต 1323
- โทร. 1323 เพื่อปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตได้ทันที ฟรี! ตลอด 24 ชั่วโมง
- แชทผ่านเพจ Facebook “1323 ปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต” แจ้งขอรับบริการ โดยจะมีแชทบอทคอยตอบคำถามเบื้องต้น และนักจิตวิทยาจะเข้ามาให้คำปรึกษาในช่วงเวลา 14.30–22.30 น.
- ระบบนัดออนไลน์- เข้าเว็บไซต์ https://1323alltime.camri.go.th/appointment
- ลงทะเบียนและกรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อยืนยันตัวตน (จำเป็นต้องใช้เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก)
- เลือกวันและเวลาที่สะดวกเพื่อขอรับบริการ
- จะมีนักจิตวิทยาโทรกลับไปตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ ในวันที่และเวลาที่นัดหมาย
 
ขั้นตอนรับบริการนวัตกรรม DMIND ด้วย AI ตรวจสุขภาพใจ
- เพิ่มไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
- เลือกรายการ “ตรวจสุขภาพใจกับ DMIND”
- เมื่อเข้าสู่ DMIND เลือก “พร้อมตรวจสุขภาพใจแล้ว” และทำตามขั้นตอน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
- สายด่วน สปสช. 1330
- ช่องทางออนไลน์- ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
- Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand
 

