คณะรัฐมนตรี อนุมัติ 4 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ บรรเทาผลกระทบจากโควิด 19

คณะรัฐมนตรี อนุมัติ 4 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ บรรเทาผลกระทบจากโควิด 19

         คณะรัฐมนตรี เห็นชอบ 4 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 


4 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

  

1. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 โดยจ่ายเงินช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 1,200 บาท/คน โดยแบ่งจ่ายเดือนละ 200 บาท/คน เป็นระยะเวลา 6 เดือน (ก.ค.-ธ.ค.64) มีผู้ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ 13,350,159 คน

2. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ผู้ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน ผู้มีภาวะพึ่งพิง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จำนวนไม่เกิน 2,500,000 คน โดยจ่ายผ่านบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด เดือนละ 200 บาท/คน ระยะเวลา 6 เดือน (ก.ค. – ธ.ค. 64) รวมได้รับเงินช่วยเหลือ 1,200 บาท

3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน 31 ล้านคน โดยแบ่งเป็น ผู้ที่เคยร่วมโครงการใน ระยะที่ 1 – 2 15 ล้านคน ,ผู้ไม่เคยได้รับสิทธิ์ลงทะเบียนอีก 16 ล้านคน ทั้งนี้ต้องเป็นผู้อายุเกิน 18 ปี และไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือเข้าร่วมโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ การใช้สิทธิ์เป็นลักษณะร่วมจ่าย คือ ซื้อของเท่าไหร่ จ่ายจริงครึ่งเดียว และอีกครึ่งรัฐสนับสนุน โดยยอดเงินที่สนับสนุนไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน หรือใช้จ่ายผ่านโครงการนี้ได้ไม่เกินวันละ 300 บาท การสนับสนุนจะเติมเงินผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” แบ่งเป็น 2 รอบ รอบละ 3 เดือน ( ก.ค. – ก.ย.64) และ (ต.ค. – ธ.ค. 64) ซึ่งจะได้รับสิทธิรอบละ 1,500 บาท รวมได้รับสิทธิ 3,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการรับสิทธิได้ตั้งแต่มิถุนายน – ธันวาคม 2564 หรือจนกว่าสิทธิจะเต็ม โดยสามารถเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 คาดว่าจะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 186,000 ล้านบาท ส่งผลให้ GDP ขยายตัวร้อยละ 0.55

4. โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ สนับสนุนวงเงินในรูปแบบบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) เมื่อซื้อสินค้าและบริการ ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ไม่รวมสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ รวมทั้งบริการนวด/สปา/ทำผมทำเล็บ และบริการอื่นตามที่กำหนด โดยจำกัดวงเงินใช้จ่าย ไม่เกิน 5,000 บาท/คน/วัน หรือรวมแล้วไม่เกิน 60,000 บาท/คน และจะได้รับสิทธิ e-Voucher สะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน เพื่อนำไปใช้ต่อ ซึ่งในรายละเอียดนั้นทางกระทรวงการคลังจะชี้แจงเพิ่มเติมต่อไป สำหรับกลุ่มเป้าหมายจะเป็นประชาชนไม่เกิน 4 ล้านคน โดยมีคุณสมบัติคือ เป็นประชาชนสัญชาติไทยมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ มีบัตรประจำตัวประชาชน และไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือไม่ใช้สิทธิโครงการ “คนละครึ่ง” ระยะที่ 3

 



ที่มา : https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG210602192626815