โครงการ FACTORY SANDBOX
โครงการ Factory Sandbox เป็นแนวคิดการจัดการโครงสร้างและกระบวนการในลักษณะ “เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข” ที่มุ่งดำเนินการควบคู่ระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ โดยใน Sandbox จะมุ่งเป้าที่โรงงานภาคการผลิตส่งออกขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นกลไกหลักของประเทศในปัจจุบัน มีมูลค่าการส่งออกรวมถึง 700,000 ล้านบาท และจ้างงานถึง 3 ล้านตำแหน่ง ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่
- ยานยนต์
- ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
- อาหาร
- อุปกรณ์การแพทย์
สำหรับโครงการ Factory Sandbox เป็นความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยจะจัดเจ้าหน้าที่เข้าตรวจหาโควิดเชิงรุกภายในโรงงาน หากพบผู้ติดเชื้อจะนำผู้ป่วยแยกตัวไปเข้าสู่ระบบการรักษาตามโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือประกันสังคม ที่ส่วนใหญ่ได้มีการประสานงาน Hostpitel แต่ละพื้นที่เพื่อรองรับกับสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ส่วนผู้ที่ไม่พบเชื้อจะได้รับการฉีดวัคซีนทันที โดยเบื้องต้นเตรียมขอวัคซีนประมาณ 200,000 – 300,000 โดส เพื่อใช้ในโครงการนี้
ทั้งนี้ จะสามารถเริ่มโครงการได้ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2564 และจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการดำเนินการโครงการดังกล่าว
ระยะเวลาดำเนินโครงการ
แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1 ดำเนินการ 4 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรสาคร มีสถานประกอบการเข้าร่วม 60 แห่ง มีลูกจ้าง 138,795 คน
- ระยะที่ 2 ดำเนินการ 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา และสมุทรปราการ
ประเภทสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ
- ยานยนต์
- ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
- อาหาร
- อุปกรณ์การแพทย์
เงื่อนไขโรงงานที่เข้าร่วม
- มีลูกจ้าง 500 คนขึ้นไป
- ตั้งโรงพยาบาลสนามในสถานประกอบการไม่ต่ำกว่า 5% ของพนักงาน
- ดำเนินการ Bubble and Seal
- ตรวจหาเชื้อแบบ PCR ให้ลูกจ้างทุกคน 1 ครั้ง
- ตรวจแบบ Self ATK ทุก 7 วัน
- ฉีดวัคซีนให้ลูกจ้างทุกคน (ยกเว้นคนที่ติดเชื้อ)
ขั้นตอนหลักในการดำเนินโครงการ
- การตรวจ การรักษา การดูแล และการควบคุม เพื่อให้บริหารทรัพยากรที่มีจำกัดได้ตรงเป้าหมาย โดยโรงงานที่มีลูกจ้าง 500 คนขึ้นไป ต้องตั้งโรงพยาบาลสนามในสถานประกอบการไม่ต่ำกว่า 5% ของพนักงาน ดำเนินการ Bubble and Seal โดยกำหนดให้ลูกจ้างเดินทางกลับที่พักแบบไม่แวะระหว่างทาง และอยู่แต่ในเคหสถานเท่านั้น
- ตรวจหาเชื้อแบบ PCR 1 ครั้ง ให้ลูกจ้างทั้งหมด และตรวจแบบ Self ATK ทุก 7 วัน ดำเนินการฉีดวัคซีนให้ลูกจ้างทุกคน ยกเว้นคนที่ติดเชื้อให้รักษาในส่วนค่าบริการฉีดวัคชีน สถานประกอบการต้องเป็นผู้จ่ายให้สถานพยาบาล และสถานประกอบการทำหนังสือยินยอมดำเนินการตามแนวทางกระทรวงแรงงานและจังหวั
- กำหนดให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการนี้ใช้ Antigen Test Kit (ATK) เพื่อทำการสุ่มตรวจหาเชื้อในแรงงานทุกสัปดาห์ และต้องควบคุมเส้นทางการเดินทางของแรงงาน (Sealed Route) เช่นเดียวกับการควบคุมการระบาดในแคมป์คนงานก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นยังได้มีการประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อออกใบรับรองให้กับโรงงานที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อใช้สร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าในต่างประเทศอีกด้วย
วิธีการดำเนินการ
- แยกคนที่ไม่มีเชื้อโควิดออกจากคนที่มีเชื้อโควิด
- คนที่มีเชื้อโควิดจะถูกนำตัวไปรักษา
- ส่วนคนไม่พบเชื้อก็จะได้รับการฉีดวัคซีน
ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ
- รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ในภาคการผลิต-ส่งออก ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า 700,000 ล้านบาท
- ป้องกันคลัสเตอร์โรงงานจากการติดเชื้อ สร้างสมดุลระหว่างมาตรการทางด้านสาธารณสุข และเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้
- สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่ง ณ ปัจจุบันระบบ supply chain ของประเทศคู่แข่งกำลังปิดตัวลง
- รักษาระดับการจ้างงานในภาคการผลิต-ส่งออกสำคัญได้กว่า 3 ล้านตำแหน่ง