กระทรวงแรงงงาน เตรียมตำแหน่งงานว่างกว่า 2 แสนอัตรา ขานรับนโยบายเปิดประเทศ 1 พ.ย. 64

กระทรวงแรงงงาน เตรียมตำแหน่งงานว่างกว่า 2 แสนอัตรา ขานรับนโยบายเปิดประเทศ 1 พ.ย. 64

          กระทรวงแรงงาน รวบรวมตำแหน่งงาน 222,871 อัตราจากทั่วประเทศเพื่อผลักดันให้เกิดการจ้างงานโดยเร็ว ขานรับนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 พร้อมร่วมมือกับสถานประกอบการ ในการจัดทำคลิปวีดีโอแนะนำสถานประกอบการ ตำแหน่งงาน รวมถึงสวัสดิการต่างๆ ที่จะได้รับ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เพิ่มความเชื่อมั่น และโอกาสในการเข้าทำงาน แก่กลุ่มผู้สมัครงานคนไทย 


 

          นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิดในช่วงที่ผ่านมา พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ต่างห่วงใยพี่น้องแรงงานไทยมาโดยตลอด รัฐบาลจำเป็นต้องทำงานอย่างหนักเพื่อปกป้องชีวิตประชาชนไปพร้อมกับปกป้องการทำมาหากินตามปกติของประชาชน วันนี้ความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ในประเทศไทยกำลังค่อยๆลดลง และมีกำหนดเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ภาคธุรกิจท่องเที่ยว บริการ การเดินทาง และความบันเทิง จะมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ติดตามสถานการณ์การจ้างงานอย่างใกล้ชิด และมีข้อสั่งการให้อธิบดีกรมการจัดหางาน ติดตามการรวบรวมตำแหน่งงานทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยเน้นการทำงานเชิงรุก ลงพื้นที่หารือและสำรวจความต้องการการจ้างงานจากสถานประกอบการอย่างเป็นปัจจุบันที่สุด เพื่อผลักดันให้เกิดการจ้างงานโดยเร็ว และทำหน้าที่ผู้ประสานการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบระหว่างจังหวัดที่มีความต้องการจ้างงานแต่ไม่มีกำลังแรงงาน กับจังหวัดที่มีคนต้องการหางานทำจำนวนมากแต่มีตำแหน่งงานว่างไม่เพียงพอที่จะรับเข้าทำงาน

          “ผลการสำรวจความต้องการจ้างงานแรงงานไทยทั่วประเทศ ณ เดือนตุลาคม 2564 พบมีตำแหน่งงานว่าง 222,871 อัตรา โดยตำแหน่งงานว่าง 5 อันดับแรกที่นายจ้าง/สถานประกอบการต้องการมากที่สุด ได้แก่

  1. แรงงานด้านการประกอบ
  2. แรงงานบรรจุภัณฑ์
  3. พนักงานขายของหน้าร้าน และสาธิตสินค้า
  4. ตัวแทนจัดหาบริการทางธุรกิจและนายหน้าการค้าอื่นๆ
  5. ตัวแทนฝ่ายขายด้านเทคนิคและการค้า

ซึ่งประเภทกิจการที่ต้องการจ้างงานมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่

  1. อุตสาหกรรมการผลิต
  2. อุตสาหกรรมขายส่ง/ปลีกจักรยานยนต์ และการซ่อมจักรยานยนต์
  3. อุตสาหกรรมก่อสร้าง
  4. อุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์
  5. กิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย”

          ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า นอกจากการมอบหมายให้สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศลงพื้นที่จัดหางานเชิงรุกแล้ว กรมการจัดหางานยังร่วมมือกับสถานประกอบการชั้นนำ 42 แห่ง ใน 16 จังหวัด ที่มีความต้องการจ้างงานแรงงานไทยทดแทนแรงงานต่างด้าว อาทิ

  1. บริษัท ไทย-นิจิ อินดัสทรี จำกัด จังหวัดลำพูน
  2. บริษัท คาร์กิลมีทส์ (ไทยแลนด์) จำกัด จังหวัดนครราชสีมา
  3. บริษัท ไก่สดเซนทาโก จำกัด จังหวัดปทุมธานี
  4. บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จังหวัดเพชรบุรี
  5. บริษัท ศรีตรังโกลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จังหวัดสุราษฎร์ธานี
  6. บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด จังหวัดชลบุรี
  7. บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟีดแอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

          ในการจัดทำคลิปวีดีโอแนะนำสถานประกอบการ ตำแหน่งงานและลักษณะงาน รายได้ รวมถึงสวัสดิการต่างๆที่จะได้รับ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เพิ่มความเชื่อมั่น และโอกาสในการเข้าทำงาน แก่กลุ่มผู้สมัครงานคนไทยที่มีระดับการศึกษาไม่เกินมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย เพื่อทำงานในตำแหน่งพนักงานฝ่ายผลิต พนักงานขาย พนักงานประจำร้าน พนักงานจัดเรียงสินค้า ฯลฯ ซึ่งอย่างน้อยจะได้รับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามวุฒิการศึกษา รวมทั้งค่าทำงานล่วงเวลา เบี้ยขยัน และสวัสดิการต่างๆ ที่บริษัทกำหนด ได้มีงานทำ มีรายได้ สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวต่อไป

          ทั้งนี้ คนหางาน ผู้ว่างงาน ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ผู้ที่ต้องการมีงานทำ และผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมคลิปวีดีโอแนะนำสถานประกอบการฯ ได้ที่เว็บไซต์ doe.go.th หรือติดต่อขอรับบริการจัดหางาน ณ ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสมัครงานผ่านช่องทางการให้บริการจัดหางานรูปแบบออนไลน์ด้วยตนเองได้ที่เว็บไซต์ ไทยมีงานทำ.doe.go.th เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางไปติดต่อที่สำนักงาน ลดการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19

 



ที่มา : https://bit.ly/3oTNTI1