กพท.ประกาศแนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการเดินอากาศเกี่ยวกับการให้บริการจากท้องที่นอกราชอาณาจักร

กพท.ประกาศแนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการเดินอากาศเกี่ยวกับการให้บริการจากท้องที่นอกราชอาณาจักร

            สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ประกาศแนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการเดินอากาศเกี่ยวกับการให้บริการจากท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตโรคติดต่ออันตรายกรณีเชื้อไวรัส COVID-19 และพื้นที่มีการระบาดต่อเนื่อง



            นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคำแนะนำของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกำหนดท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายกรณีโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 พ.ศ. 2563 ได้แก่ สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงเขตบริหารพิเศษมาเก๊า และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ประกาศแนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการเดินอากาศในการปฏิบัติการบินระหว่างท้องที่ดังกล่าว และเพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคของประเทศ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2563 นั้น
                       
            ปัจจุบันปรากฏว่า พื้นที่แพร่กระจายของผู้ติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ครอบคลุมเขตพื้นที่ในประเทศต่าง ๆ มากขึ้น กพท. จึงได้ประกาศแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม สำหรับผู้ดำเนินการเดินอากาศเกี่ยวกับการให้บริการจากพื้นที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายและพื้นที่มีการระบาดต่อเนื่อง ตามประกาศกรมควบคุมโรค เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2563 ดังนี้
                      
1. กรณีที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้ท้องที่นอกราชอาณาจักรใดเป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายกรณีโรคติดเชื้อไวรัสCOVID-19 หรือกรมควบคุมโรคได้กำหนดพื้นที่ใดเป็นพื้นที่มีการระบาดต่อเนื่อง ผู้โดยสารที่มีประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าวในระยะเวลา 14 วันที่ผ่านมาก่อนที่จะเดินทางมาประเทศไทยต้องได้รับการกักตัว (quarantine) และอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออย่างอื่นตามที่รัฐบาลไทยกำหนด
                       
2. ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศที่ให้บริการผู้โดยสารที่จะเดินทางมาประเทศไทยดำเนินการคัดกรองในเวลาที่ผู้โดยสารแสดงตัวเพื่อออกบัตรขึ้นเครื่อง (Check-in) ดังนี้
                            
        2.1 ตรวจสอบประวัติการเดินทางของผู้โดยสารว่าในระยะเวลา 14 วันที่ผ่านมา ได้เดินทางไปพื้นที่ที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายหรือพื้นที่มีการระบาดต่อเนื่องหรือไม่
                           
        2.2 ตรวจสอบใบรับรองแพทย์ (Health Certificate) ที่ออกให้โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ที่ยืนยันว่าตรวจผู้โดยสารแล้วไม่พบเชื้อไวรัส COVID-19
                     
        2.3 ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยที่แสดงการคุ้มครองการรักษาพยาบาลในประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมถึงโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐ
                  
3. ในกรณีที่ผู้โดยสารที่จะเดินทางมาประเทศไทยเป็นผู้มีสัญชาติไทย ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศดำเนินการคัดกรองในเวลาที่ผู้โดยสารแสดงตัวเพื่อออกบัตรโดยสาร (Check-in) ดังนี้
                        
         3.1 ตรวจสอบใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่ามีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทาง (Fit to Fly Health Certificate)
                     
        3.2 ตรวจสอบหนังสือรับรองการเดินทางกลับประเทศไทยที่สถานเอกอัครราชทูตไทย สถานกงสุลใหญ่ หรือกระทรวงการต่างประเทศออกให้
               
4. หากพบว่าผู้โดยสารมีประวัติการเดินทางตามข้อ 2.1 และผู้โดยสารนั้นไม่สามารถแสดงหลักฐานทั้งหมดตามข้อ 2.2 และ 2.3 ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ หรือพบว่าผู้โดยสารซึ่งมีสัญชาติไทยไม่สามารถแสดงหลักฐานทั้งหมดตามข้อ 3.1 และ 3.2 ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศปฏิเสธการขึ้นเครื่องและงดการออกบัตรขึ้นเครื่อง (Boarding Pass)
          
5. เมื่อได้คัดกรองผู้โดยสารตามข้อ 2 หรือข้อ 3 และออกบัตรขึ้นเครื่องให้ผู้โดยสารแล้ว ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศจัดให้ผู้โดยสารกรอกข้อมูลแสดงที่พักที่สามารถติดต่อได้ในประเทศไทย (แบบ ต.8 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558) และยื่นต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศที่ท่าอากาศยานปลายทาง หรือกรอกข้อมูลใน Application “AOT Airport of Thailand”
       
 6. ผู้ดำเนินการเดินอากาศควรใช้มาตรการในการป้องกันโรคติดต่อบนอากาศยาน ดังนี้

      6.1 จัดที่นั่งผู้โดยสารให้มีระยะห่างจากกันมากที่สุดเท่าที่ทำได้ตั้งแต่เมื่อออกบัตรโดยสาร  และจัดพื้นที่ในห้องโดยสารไว้สำหรับเฝ้าระวังผู้โดยสารที่มีอาการไข้ ไอ หรือเจ็บป่วย หากมีความจำเป็น
        
      6.2 แจ้งให้ผู้โดยสารทราบวิธีการป้องกันโรคติดต่อและสวมหน้ากากอนามัยตลอดเที่ยวบิน  หรือจัดเตรียมอุปกรณ์อื่นที่จำเป็นสำหรับการป้องกันตนเองจากการติดต่อ
           
        6.3 พิจารณาจำกัดการให้บริการในห้องโดยสาร เพื่อลดความจำเป็นในการเข้าใกล้ชิดระหว่างเจ้าหน้าที่ประจำอากาศยานกับผู้โดยสาร
               
        6.4 กำหนดให้เจ้าหน้าที่ประจำอากาศยานทุกคนสวมหน้ากากอนามัย
           
 7. เมื่อเดินทางถึงประเทศไทย ผู้ดำเนินการเดินอากาศต้องฆ่าเชื้อหรือทำความสะอาดอากาศยานตามมาตรฐานที่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศกำหนด

8. เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศมีอำนาจออกคำสั่งตามความในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ดังต่อไปนี้
              
        8.1 ห้ามผู้ใดเข้าไปในหรือออกจากอากาศยานที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งยังไม่ได้รับการตรวจจากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ และห้ามนำพาหนะอื่นใดเข้าเทียบอากาศยานนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาต

      8.2 ดำเนินการหรือออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศดำเนินการ ดังนี้

              (ก) กำจัดความติดโรค เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ของโรค

              (ข) จัดให้อากาศยานจอดอยู่ ณ สถานที่ที่กำหนดให้จนกว่าเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศจะอนุญาตให้ไปได้

              (ค) ให้ผู้เดินทางซึ่งมากับพาหนะนั้นรับการตรวจในทางแพทย์ และอาจให้แยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกต หรือรับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ณ สถานที่และระยะเวลาที่กำหนด
         
 9. ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนมาตรการตามข้อ 2 ข้อ 3 หรือข้อ 4 ผู้ดำเนินการเดินอากาศจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการขนส่งผู้เดินทางซึ่งมากับอากาศยานนั้น เพื่อแยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกต หรือรับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคตลอดทั้งออกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู การรักษาพยาบาล การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
       
10. ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังโรคติดต่ออันตรายและมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออันตรายตามที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด ตามความในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยเคร่งครัด
           
11. ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศแจ้งแนวปฏิบัติดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ประจำสถานีต้นทางและเจ้าหน้าที่ประจำอากาศยานให้ทราบและถือปฏิบัติ และให้เจ้าหน้าที่ประจำอากาศยานประกาศเพิ่มเติมบนอากาศยานให้ผู้โดยสารทราบโดยทั่วกัน


            ทั้งนี้ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 มีนาคม 2563 เวลา 00.00 น. ของประเทศไทยเป็นต้นไป


                                                                                   
กระทรวงคมนาคม
                                                                                   
วันที่ 19 มีนาคม 2563

 


 

ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27596