นายกรัฐมนตรี มั่นใจการปรับมาตรการต่างๆ ของ ศบค. มีความเหมาะสม

นายกรัฐมนตรี มั่นใจการปรับมาตรการต่างๆ ของ ศบค. มีความเหมาะสม

           นายกรัฐมนตรี มั่นใจการปรับมาตรการต่างๆ ของ ศบค. มีความเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์โรคและบริบทของสังคมไทย



           พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ส่วนตัวใจความสำคัญระบุว่า จากการประชุม ศบค. เมื่อวาน (23 ก.พ. 65) พบว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ความรุนแรงของสายพันธุ์โอมิครอน ยังถือว่ารุนแรงน้อยกว่าเดลตา เป็นผลให้อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำกว่าคาดการณ์และภาพรวมการครองเตียงผู้ป่วยโควิดทั่วประเทศ ณ 22 ก.พ. 65 ทั้งผู้ป่วยวิกฤต (สีแดง) และผู้ป่วยหนัก (สีเหลือง) ต่ำกว่าร้อยละ 20 ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการไม่หนักและสามารถเข้ารับการศึกษาในระบบ HI/CI ได้ ทำให้ผู้ป่วยอาการรุนแรง ได้เข้ารับการรักษาอย่างเต็มที่

           อย่างไรก็ตาม อาการของโอมิครอนที่ลดความรุนแรงลง รวมทั้งอุปกรณ์และการบริการตรวจเชื้อทั้ง ATK และ RT-PCR ที่หาง่ายขึ้นและราคาถูกลง ประกอบกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็ถูกลง ส่งผลให้ ศบค. สามารถลดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการรักษาผู้ป่วยโควิดทุกระดับอาการลงได้ โดยที่ไม่ลดประสิทธิภาพในการรักษา จึงสามารถประหยัดงบประมาณไปได้พอสมควร

           นอกจากนี้ ได้ปรับมาตรการควบคุมโรคตามสถานการณ์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก อาทิ เปลี่ยนจากการตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 2 ในวันที่ 5 ของการพำนักในประเทศไทย เป็นการตรวจด้วย ATK รวมทั้งปรับลดวงเงินคุ้มครองการประกันสุขภาพลง จากเดิมไม่น้อยกว่า 50,000 เหรียญสหรัฐฯ เป็นไม่น้อยกว่า 20,000 เหรียญสหรัฐฯ

           สำหรับข้อเสนอในการปรับระบบการรักษาโรคโควิด-19 ให้เป็นการรักษาตามสิทธินั้น ครม. ได้ให้กระทรวงสาธารณสุขทบทวนและสร้างการรับรู้ให้ทั่วถึงก่อน พร้อมย้ำว่า ปัจจุบันโควิดยังคงเป็นโรคที่สามารถเข้ารับการรักษาในระบบ UCEP ได้เหมือนเดิม โดยโรงพยาบาลรัฐ หรือเอกชนไม่สามารถปฏิเสธการรักษาได้ โดยเป็นไปตามหลักกฎหมายและหลักมนุษยธรรม หากเตียงเต็มจะต้องมีการประสานงานเพื่อส่งต่อในระบบให้เร็วที่สุด

           ล่าสุด สปสช.ได้เพิ่มคู่สาย สายด่วน 1330 รวมเป็น 3,000 คู่สาย เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับจำนวนผู้ติดเชื้อและได้สั่งการให้ทุกจังหวัดและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมแผนเผชิญเหตุฉุกเฉินและความพร้อมในการขยายศักยภาพโรงพยาบาลสนามได้ทันที่ที่จำเป็นและให้ยกระดับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ไม่ให้มีกิจกรรมการรวมกลุ่มคนจำนวนมากที่ไม่เป็นไปตามมาตรการควบคุมโรค

           นายกรัฐมนตรี ยังขอให้ประชาชนได้มั่นใจว่า การปรับมาตรการต่างๆ ของ ศบค. ทุกครั้ง ทุกมาตรการ ล้วนมาจากหลักวิชาการ สถิติ แนวโน้มและคำแนะนำของคณะแพทย์ที่ปรึกษา รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากทุกภาคส่วน โดยจะพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์โรคและบริบทของสังคมไทย ยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก ประกอบกับคำนึงถึงความสมดุลทางเศรษฐกิจและการใช้ชีวิต กิจกรรมต่างๆ ของสังคมไทย โดยส่วนตัวเชื่อมั่นในศักยภาพของบุคลากรด้านสาธารณสุข อสม. และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าของไทย รวมทั้งเชื่อว่าความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องชาวไทย จะทำให้ประเทศไทยเอาชนะสงครามโควิดในรอบนี้ ที่เชื่อว่าใกล้จะจบลงได้อีกครั้ง

 


ที่มา : https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG220224210155003