กรมสรรพสามิต จับมือผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ BEV สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

กรมสรรพสามิต จับมือผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ BEV สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

        กรมสรรพสามิต เปิดเผยขณะนี้มีผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้นำเข้ารถยนต์ จำนวน 4 ราย และรถจักรยานยนต์ จำนวน 1 ราย ที่เข้าร่วมลงนามกับกรมสรรพสามิต คาดว่าจะมีผู้สนใจทยอยเข้าร่วมลงนามเพิ่มขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งจะส่งผลให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ BEV มีราคาลดลงและสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น และช่วยส่งผลดีต่อการลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ



        นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ที่เข้าร่วมมาตรการฯ จะได้สิทธิประโยชน์จากภาษีสรรพสามิตอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 1 และเงินอุดหนุนจำนวน 18,000 บาทต่อคัน

        สำหรับ การนำเข้ารถจักรยานยนต์แบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) ในปี 2565 – 2566 และผลิตรถจักรยานยนต์ BEV ในปี 2565 – 2568 โดยรถจักรยานยนต์ BEV ที่เข้าร่วมมาตรการฯ ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้

1. ต้องเป็นแบตเตอรี่ประเภทลิเธียมไอออน

2. มีความจุแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 KWh ขึ้นไป หรือมีระยะทางที่วิ่งได้ตั้งแต่ 75 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WMTC (World Motorcycle Test Cycle) ตั้งแต่ Class 1 ขึ้นไป

3. ต้องใช้ยางล้อที่เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มาตรฐานเลขที่ มอก. 2720-2560 (UN Reg.75) หรือที่สูงกว่า (UN Reg.75)

4. ต้องผ่านการทดสอบความปลอดภัยของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม เลขที่ มอก. 2952-2561 (UN Reg.136) หรือที่สูงกว่า

        บริษัท เดโก กรีน เอนเนอร์จี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจประกอบ ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ BEV ทั้งภายในประเทศและส่งออกได้ลงนามในข้อตกลงกับกรมสรรพสามิตตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ BEV รายแรกที่เข้าร่วมมาตรการฯ บริษัทฯ มีความประสงค์ผลิตรถจักรยานยนต์ BEV ในประเทศและขอรับสิทธิจำนวน 8 รุ่น ได้แก่ HANNAH , SOFIA , LUCIANO, SUSU, SUPERACE, DOUBLEACE, G-FIVE, และ TAITAN บริษัทฯ ได้วางแผนที่จะผลิตรถจักรยานยนต์ BEV ในปี 2565 จำนวน 32,000 คัน ปี 2566 จำนวน 38,400 คัน ปี 2567 จำนวน 46,400 คัน และปี 2568 จำนวน 56,000 คัน ตามลำดับ

        ขณะนี้ มีผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้นำเข้ารถยนต์ จำนวน 4 ราย และรถจักรยานยนต์ จำนวน 1 ราย ที่เข้าร่วมลงนามกับกรมสรรพสามิต คาดว่าจะมีผู้สนใจทยอยเข้าร่วมลงนามเพิ่มขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้นี้ จะส่งผลให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ BEV มีราคาลดลงและสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น และช่วยส่งผลดีต่อการลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ

 


ที่มา : https://bit.ly/3FeomiD