กรมควบคุมโรค เปิดเผยผู้เชี่ยวชาญด้านเอดส์ ชื่นชมไทย มีความก้าวหน้าการดำเนินงานยุติเอดส์
               กรมควบคุมโรค เปิดเผยผู้เชี่ยวชาญด้านเอดส์ ชื่นชมไทย มีความก้าวหน้าการดำเนินงานยุติเอดส์ คณะผู้เชี่ยวชาญได้ชื่นชมประเทศไทยที่มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการดำเนินงานร่วมกันด้านเอชไอวีอย่างเข้มแข็ง ทำให้แนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีลดลงอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยมีเป้าหมายท้าทายที่จะเร่งรัดการยุติปัญหาเอดส์ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยกำหนดเป้าหมายในการยุติปัญหาเอดส์ 3 ประการ ได้แก่ ลดผู้ติดเชื้อรายใหม่เหลือปีละไม่เกิน 1,000 คน ลดการเสียชีวิตจากเอดส์ ให้เหลือปีละไม่เกิน 4,000 ราย และลดการเลือกปฏิบัติจากเอชไอวีและเพศภาวะลงเหลือไม่เกินร้อยละ 10 โดยในปี 2564 คาดประมาณว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่เหลือเพียง 6,500 คน
               วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ได้แถลงข่าวผลการทบทวนโปรแกรมการดำเนินงานเอชไอวีระดับประเทศ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานบริหารโครงการกองทุนโลก (GF) โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย (WHO) ศูนย์ความร่วมมือไทย – สหรัฐด้านสาธารณสุข (TUC) องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) และ Duke University โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเอชไอวี/เอดส์ จากประเทศไทยและต่างประเทศ 12 ท่าน นำโดยหัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ Dr. Chris Beyrer ผู้อำนวยการสถาบัน Duke Global Health Institute และ หัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไทย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยผู้เชี่ยวชาญมีข้อเสนอแนะในประเด็นหลัก ดังนี้
- ให้ทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวง ร่วมกันดำเนินงาน สร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องเอดส์และ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จัดการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาให้กับเยาวชน
- ผลักดันให้มีกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้มีความหลากหลายทางเพศ และมีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ส่งเสริมให้แรงงานข้ามชาติทุกคนได้เข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างเท่าเทียม และให้มีการบริหารจัดการงบประมาณด้านระบบประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าวอย่างมีประสิทธิภาพ
- รณรงค์สร้างความตระหนัก เพื่อให้การตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติ การใช้ถุงยางอนามัยเป็นเรื่องปกติ การใช้ยาป้องกันก่อนและหลังการสัมผัสเชื้อเป็นเรื่องปกติ
- ขยายและเพิ่มบทบาทของภาคประชาสังคมที่ร่วมรณรงค์ และการจัดบริการเชิงรุก ร่วมกับการดำเนินการจากหน่วยบริการสาธารณสุขต่างๆ ในระดับพื้นที่ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มประชากรที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- บูรณาการงานโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคไวรัสตับอักเสบ โรควัณโรค รวมถึงโรคเรื้อรังอื่นๆ
- บูรณาการระบบข้อมูลจากหลายแหล่ง เพื่อการใช้ประโยชน์เชิงนโยบาย ทั้งข้อมูลการเฝ้าระวังโรค การป้องกัน การดูแลรักษา และการติดตามประเมินผล
นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า คณะผู้เชี่ยวชาญได้ชื่นชมประเทศไทยที่มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในการดำเนินงานร่วมกันด้านเอชไอวีอย่างเข้มแข็ง ทำให้แนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีลดลงอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยมีเป้าหมายท้าทายที่จะเร่งรัดการยุติปัญหาเอดส์ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2573 ตามยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560 – 2573 โดยกำหนดเป้าหมายในการยุติปัญหาเอดส์ 3 ประการ ได้แก่ ลดผู้ติดเชื้อรายใหม่เหลือปีละไม่เกิน 1,000 คน ลดการเสียชีวิตจากเอดส์ ให้เหลือปีละไม่เกิน 4,000 ราย และลดการเลือกปฏิบัติจากเอชไอวีและเพศภาวะลงเหลือไม่เกินร้อยละ 10โดยในปี 2564 คาดประมาณว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่เหลือเพียง 6,500 คน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยยาต้านไวรัส 450,000 คน และจำนวนผู้เสียชีวิตจากเอดส์ยังคงสูงถึง 9,322 คน ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตจากวัณโรค และยังคงมีการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 26.7 นอกจากนี้ยังพบว่าสถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในกลุ่มเยาวชนมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงขึ้น 2.5 เท่า ตั้งแต่ปี 2560 โดยในปี 2564 โรคซิฟิลิสมีอัตราป่วย 50.5 ราย ต่อประชากรแสนคน โรคหนองใน 45.6 รายต่อประชากรแสนคน อัตราการใช้ถุงยางอนามัยยังคงต่ำกว่า 100% โดยในปี พ.ศ. 2562 ในกลุ่มเยาวชน มีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยครั้งล่าสุดที่มีเพศสัมพันธ์ ประมาณร้อยละ 80 และในกลุ่มประชากรเป้าหมายหลักร้อยละ 70-80 ในปี 2564
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข รับทราบและได้ทบทวนข้อแนะนำของผู้เชี่ยวชาญแล้ว และจะดำเนินการหารือร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อวางแผนการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญให้เกิดการนำมาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ในเบื้องต้น กระทรวงสาธารณสุขมีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับข้อแนะนำของผู้เชี่ยวชาญหลายประเด็น ดังนี้
- กระทรวงสาธารณสุขตระหนักถึงปัญหาการระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเยาวชน และจะหารือร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการยกระดับการทำงานด้านการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเยาวชน ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวจำเป็นต้องมีความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ ในการจัดการเรียนการสอนเรื่องเพศศึกษา และส่งเสริมเรื่องการลดการตีตราและเลือกปฏิบัติ ต่อเยาวชนที่ติดเชื้อเอชไอวี และเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศ
 นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายบูรณาการบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เข้ากับงานบริการโรคติดเชื้อเอชไอวี และขณะนี้การจัดบริการการใช้ยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ (ยาเพร็พ) อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของคนไทยทุกคนแล้ว กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งดำเนินการขยายหน่วยบริการยาเพร็พที่ได้มาตรฐานให้ครอบคลุมทุกจังหวัด โดยทำงานใกล้ชิดกับภาคประชาสังคมในพื้นที่
- กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้พยายามขับเคลื่อนการลดการตีตราและเลือกปฏิบัติโดยผลักดันให้มี “กฎหมายเลือกปฏิบัติต่อบุคคลในทุกรูปแบบ” ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 4 และ 27 ซึ่งกำหนดว่าห้ามเลือกปฏิบัติต่อบุคคลในทุกรูปแบบ ไม่เฉพาะสถานะด้านเอชไอวี แต่รวมถึงความเห็น และสถานะทางสังคมที่แตกต่าง โดยขณะนี้กระทรวงยุติธรรมได้เสนอร่าง“กฎหมายเลือกปฏิบัติต่อบุคคลในทุกรูปแบบ” ต่อรัฐสภาและอยู่ระหว่างรอการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี
- กระทรวงสาธารณสุขเห็นความสำคัญเรื่องสุขภาพของแรงงานข้ามชาติ และพยายามส่งเสริมให้แรงงานข้ามชาติทุกคนมีบัตรประกันสุขภาพของตนเองมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะร่วมกันหารือแนวทางการบริหารจัดการงบประมาณประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว รวมถึงค่าบัตรประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าวที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพของแรงงานข้ามชาติได้อย่างเท่าเทียม
- กระทรวงสาธารณสุขขอเชิญชวนให้ทุกหน่วยงานทุกภาคส่วน ร่วมกันรณรงค์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และสร้างความตระหนักแก่ประชาชน ถึงสถานการณ์ปัญหาของโรคติดเชื้อเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคไวรัสตับอักเสบ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ตื่นตัวในการป้องกันโรค และสามารถเข้าสู่การตรวจวินิจฉัยที่รวดเร็ว ไม่ตีตราและเลือกปฏิบัติ ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขกำลังขับเคลื่อนการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเองให้รวมอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ และสามารถเข้าถึงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
- กระทรวงสาธารณสุข อยู่ระหว่างการดำเนินงานเพื่อบูรณาการระบบข้อมูลด้านเอชไอวี ทั้งข้อมูลของผู้ที่อยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ข้อมูลผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ข้อมูลผู้ที่ใช้สิทธิ์สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ รวมถึงแรงงานข้ามชาติและผู้ที่อยู่ระหว่างรอการพิสูจน์สัญชาติ (บุคคลไร้รัฐ) เพื่อให้เป็นระบบข้อมูลกลาง และสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวในการนำมากำหนดทิศทางการดำเนินงานในอนาคตได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขจะหารือร่วมกับกองทุนด้านสุขภาพทั้ง 4 กองทุน เพื่อให้ทุกกองทุนสนับสนุนการจัดบริการด้านเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคไวรัสตับอักเสบ แก่ทุกคนทุกสิทธิ์อย่างเท่าเทียมกัน
               สำหรับการทบทวนโปรแกรมการดำเนินงานเอชไอวีระดับประเทศในครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 8 พฤศจิกายน 2565 เพื่อรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผลการดำเนินงานโปรแกรมเอชไอวีที่ผ่านมาของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2560 – 2564 โดยผู้เชี่ยวชาญได้ลงพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงราย อุดรธานี และนครศรีธรรมราช เพื่อนำไปสู่การจัดทำข้อเสนอแนะในการปรับปรุงนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการดำเนินงานด้านเอดส์ ให้สามารถเร่งรัดการยุติปัญหาเอดส์ให้สำเร็จภายในปี 2573
ที่มา : https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/181035/
